ดมิทรี เมดเวเดฟ รองประธานสภาความมั่นคงแห่งชาติของรัสเซียไม่ปฏิเสธความเป็นไปได้ที่ว่า รัสเซียอาจจำเป็นต้องโจมตีฐานทัพของนาโต (NATO) หากสถานการณ์ทวีความรุนแรงขึ้น เนื่องจากยูเครนใช้ขีปนาวุธพิสัยไกลที่ผลิตโดยชาติตะวันตกในการโจมตีรัสเซีย
"หากความขัดแย้งทวีความรุนแรงขึ้น ก็ไม่อาจตัดความเป็นไปได้ใด ๆ ออกไป เพราะประเทศสมาชิกนาโตได้เข้ามาเกี่ยวข้องอย่างเต็มที่ในความขัดแย้งนี้" เมดเวเดฟให้สัมภาษณ์กับสำนักข่าวอัล อาราบิยา (Al Arabiya) ของซาอุดีอาระเบีย
เขาให้ความเห็นดังกล่าวเพื่อตอบคำถามที่ว่า รัสเซียจะโจมตีศูนย์กลางทางทหารในโรมาเนียและโปแลนด์หรือไม่ หากยูเครนยังคงใช้ขีปนาวุธพิสัยไกลที่ผลิตโดยชาติตะวันตกโจมตีรัสเซียต่อไป
"ชาติตะวันตกต้องตระหนักว่าพวกเขาเลือกข้างยูเครน" เมดเวเดฟกล่าวเสริม "พวกเขาไม่เพียงจัดส่งอาวุธและเงินทุนให้แก่ยูเครน แต่พวกเขาสู้รบโดยตรง เพราะพวกเขาชี้เป้าหมายในการโจมตีดินแดนรัสเซีย รวมทั้งควบคุมขีปนาวุธของอเมริกาและยุโรป ซึ่งถือว่าพวกเขาสู้รบกับสหพันธรัฐรัสเซีย เมื่อเป็นเช่นนั้น ก็ไม่อาจตัดความเป็นไปได้ใด ๆ ออกไป"
ยิ่งไปกว่านั้น เมดเวเดฟเตือนว่า "แม้แต่สถานการณ์ที่ทุกข์ยากและน่าเศร้าที่สุดก็อาจเกิดขึ้นได้"
"เราไม่ต้องการให้สถานการณ์เช่นนั้นเกิดขึ้น เราย้ำเรื่องนี้มาหลายครั้งแล้ว เราต้องการสันติภาพ แต่สันติภาพนี้ต้องคำนึงถึงผลประโยชน์สูงสุดของรัสเซีย"
สำนักข่าว TASS ของรัสเซียรายงานว่า เมื่อวันที่ 19 พ.ย. ยูเครนได้โจมตีเป้าหมายในแคว้นคุสค์และแคว้นบรีอันสค์ของรัสเซีย โดยใช้ขีปนาวุธพิสัยไกล ATACMS ที่ผลิตโดยสหรัฐฯ และขีปนาวุธพิสัยไกล Storm Shadow ที่ผลิตโดยอังกฤษ หลังจากนั้นรัสเซียได้ตอบโต้ด้วยการยิงขีปนาวุธเหนือเสียงพิสัยกลาง โอเรชนิก (Oreshnik) ถล่มโรงงานอุตสาหกรรมทางทหารในเมืองดนีโปรเปตรอฟสค์ของยูเครน
กระทรวงกลาโหมรัสเซียรายงานว่า ในช่วงไม่กี่วันมานี้ กองกำลังยูเครนยังคงใช้ขีปนาวุธพิสัยไกลที่ผลิตโดยชาติตะวันตกโจมตีรัสเซียอีกหลายครั้ง