นักวิเคราะห์กล่าวว่า สงครามยูเครนได้มาถึงจุดเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ หลังจากที่ประธานาธิบดีโวโลดิเมียร์ เซเลนสกี ผู้นำยูเครน กล่าวยอมรับเป็นครั้งแรกเกี่ยวกับแผนยุติสงคราม โดยไม่มีการตั้งเงื่อนไขให้รัสเซียคืนดินแดนของยูเครนที่ยึดครองไปก่อนหน้านี้
ทั้งนี้ ปธน.เซเลนสกีแสดงความประสงค์ที่จะยุติสงครามกับรัสเซียในไม่ช้า และระบุว่ายูเครนสามารถกลับมามีกรรมสิทธิเหนือดินแดนที่รัสเซียยึดครองโดยผ่านการเจรจาทางการทูต ถ้าหากยูเครนได้รับการยืนยันในการเป็นสมาชิกขององค์การสนธิสัญญาป้องกันแอตแลนติกเหนือ (นาโต)
ถ้อยแถลงดังกล่าวถือเป็นการเปลี่ยนแปลงจุดยืนเป็นครั้งแรกของปธน.เซเลนสกี ซึ่งก่อนหน้านี้ยืนกรานว่า สงครามจะยุติลงได้ก็ต่อเมื่อรัสเซียยอมคืนดินแดนของยูเครนที่ยึดครองไป
"นี่ถือเป็นการประนีประนอมครั้งสำคัญของเซเลนสกีเกี่ยวกับเรื่องดินแดน ซึ่งผมคิดว่ามันได้สะท้อนความเป็นจริงที่ยากลำบากซึ่งยูเครนกำลังเผชิญในขณะนี้" นายทิโมธี แอช นักวิชาการในโครงการรัสเซียและยูเรเซียศึกษาที่ Chatham House กล่าว
ก่อนหน้านี้ ในเดือนก.ค.ที่ผ่านมา ปธน.เซเลนสกีกล่าวกับสำนักข่าว Le Monde ว่า ดินแดนของยูเครนที่ถูกรัสเซียยึดครองไปสามารถอยู่ภายใต้การปกครองของรัสเซีย หากดินแดนเหล่านี้มีการลงประชามติอย่างอิสระและเป็นธรรม
อย่างไรก็ดี ในการจัดการลงประชามติดังกล่าว ยูเครนจำเป็นจะต้องเข้าครอบครองดินแดนเหล่านี้เสียก่อน ซึ่งเป็นเรื่องยากสำหรับยูเครน
ทั้งนี้ ในการให้สัมภาษณ์ต่อสำนักข่าวสกายนิวส์ ซึ่งมีการเผยแพร่เมื่อวันที่ 29 พ.ย. ปธน.เซเลนสกีกล่าวว่า การทำสงครามในยูเครนสามารถยุติลงได้ หากนาโตให้การค้ำประกันความมั่นคงของยูเครนเหนือดินแดนที่รัฐบาลยูเครนครอบครองในขณะนี้
ปธน.เซเลนสกีกล่าวว่า การทำข้อตกลงหยุดยิงจะต้องมีการรับประกันว่ารัสเซียจะต้องไม่กลับมายึดครองดินแดนของยูเครนเพิ่มขึ้น หลังจากที่ได้ยึดครองดินแดนยูเครนไปแล้วราว 20% โดยรัสเซียได้ผนวกคาบสมุทรไครเมียในปี 2557 รวมถึงแคว้นโดเนตสก์ ลูฮันสก์ เคอร์ซอน และซาปอริซเซียในปี 2565
"ถ้าเราต้องการยุติสงคราม เราจำเป็นที่จะต้องนำดินแดนที่เราครอบครองในขณะนี้ให้อยู่ภายใต้การปกป้องของนาโต"
"เราจำเป็นต้องทำอย่างรวดเร็ว และหลังจากนั้น ยูเครนสามารถกลับมาครอบครองดินแดนที่ถูกยึดไปโดยผ่านการเจรจาทางการทูต" ปธน.เซเลนสกีกล่าวต่อสกายนิวส์
นอกจากนี้ ปธน.เซเลนสกียังได้กล่าวย้ำจุดยืนดังกล่าวในการให้สัมภาษณ์กับสำนักข่าวเกียวโดในวันนี้ โดยเขาได้ยอมรับถึงความยากลำบากที่ยูเครนจะยึดครองดินแดนเหล่านี้กลับคืนมาโดยใช้กำลังทหาร
"กองทัพของเราขาดกำลังที่จะดำเนินการในเรื่องนี้ นี่เป็นความจริง เราจำเป็นต้องหาแนวทางแก้ไขทางการทูต" ปธน.เซเลนสกีกล่าว
นอกจากนี้ การเปลี่ยนแปลงท่าทีของปธน.เซเลนสกีมีขึ้น หลังจากที่นายโดนัลด์ ทรัมป์คว้าชัยชนะในการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐในเดือนที่แล้ว ซึ่งจะทำให้สหรัฐเปลี่ยนแปลงนโยบายในการสนับสนุนยูเครน เมื่อเทียบกับรัฐบาลของประธานาธิบดีโจ ไบเดน ซึ่งได้ให้ความช่วยเหลือทางการทหารแก่ยูเครนราว 6.4 หมื่นล้านดอลลาร์นับตั้งแต่ที่รัสเซียใช้ปฏิบัติการพิเศษทางทหารต่อยูเครนในเดือนก.พ.2565