มิเชล บาร์นิเยร์ นายกรัฐมนตรีฝรั่งเศส ถูกสภาลงมติไม่ไว้วางใจเมื่อวานนี้ (4 ธ.ค.) ส่งผลให้ฝรั่งเศสซึ่งมีระบบเศรษฐกิจใหญ่เป็นอันดับสองของสหภาพยุโรป (EU) ต้องเผชิญกับวิกฤตการณ์ในระดับที่รุนแรงขึ้น
พรรคการเมืองฝ่ายขวาจัดและฝ่ายซ้ายได้ยื่นญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจนายกรัฐมนตรีบาร์นิเยร์เมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา (2 ธ.ค.) ส่งผลให้สภาฝรั่งเศสจัดการประชุมเพื่อพิจารณาญัตติดังกล่าว และในที่สุด สภามีมติท่วมท้นด้วยคะแนน 331 เสียง ไม่ไว้วางใจบาร์นิเยร์ ซึ่งคะแนนเสียงดังกล่าวสูงกว่าเกณฑ์ 288 เสียงที่จะต้องใช้ในการผ่านมติไม่ไว้วางใจนายกรัฐมนตรี
มติดังกล่าวส่งผลให้บาร์นิเยร์ต้องลาออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรีฝรั่งเศส หลังจากปฏิบัติหน้าที่ได้เพียง 3 เดือนเท่านั้น โดยเมื่อเดือนก.ย.ที่ผ่านมา ประธานาธิบดีเอ็มมานูเอล มาครงได้แต่งตั้งบาร์นิเยร์ให้เข้าดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี
การที่พรรคการเมืองฝ่ายขวาจัดและฝ่ายซ้ายยื่นญัตติไม่ไว้วางใจบาร์นิเยร์นั้น มีสาเหตุมาจากการผ่านร่างงบประมาณปี 2568 ซึ่งบาร์นิเยร์ตัดงบประมาณที่จำเป็นและปรับขึ้นภาษี เพื่อพยายามแก้ปัญหางบประมาณขาดดุล แต่บาร์นิเยร์ผ่านร่างงบประมาณดังกล่าวโดยอาศัยมาตรา 49.3 ของรัฐธรรมนูญฝรั่งเศสเพื่อลัดขั้นตอนผ่านงบประมาณโดยไม่ต้องผ่านการเห็นชอบจากรัฐสภา ซึ่งเป็นเหตุให้พรรคฝ้ายค้านได้ออกมาคัดค้านการผ่านงบประมาณดังกล่าว
เว็บไซต์ของหนังสือพิมพ์เทเลกราฟ (Telegraph) รายงานว่า มารีน เลอ แปน ผู้นำพรรคแนวร่วมแห่งชาติ (RN) ซึ่งเป็นพรรคฝ่ายขวาจัดกล่าวว่า แผนงบประมาณของบาร์นิเยร์ถือเป็นการจับประชาชนชาวฝรั่งเศสเป็นตัวประกัน และส่งผลกระทบต่อชาวฝรั่งเศสซึ่งกำลังอยู่ในภาวะที่เปราะบางที่สุด เนื่องจากพวกเขาจะไม่ได้รับสวัสดิการ แต่ขณะเดียวกันก็ไม่ได้ยากจนมากพอที่จะได้รับการยกเว้นภาษี
"เราไม่มีทางเลือกนอกจากปกป้องฝรั่งเศส" เลอ เปนกล่าว พร้อมกับวิพากษ์วิจารณ์แผนงบประมาณปี 2568 ของบาร์นิเยร์ว่า "อันตรายและไม่ยุติธรรม"