ครอบครัวชาวปาเลสไตน์ฟ้องก.ต่างประเทศสหรัฐฯ โทษฐานสนับสนุนอิสราเอลทำสงครามในกาซา

ข่าวต่างประเทศ Wednesday December 18, 2024 09:10 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

ครอบครัวชาวปาเลสไตน์ได้ยื่นฟ้องกระทรวงการต่างประเทศของสหรัฐฯ เมื่อวันอังคาร (17 ธ.ค.) เกี่ยวกับการสนับสนุนทางทหารของสหรัฐฯ ต่ออิสราเอลในการทำสงครามในฉนวนกาซา ซึ่งทำให้มีผู้เสียชีวิตหลายหมื่นคนและเกิดวิกฤตด้านมนุษยธรรม

สำนักข่าวรอยเตอร์รายงานว่า คดีนี้ถูกยื่นฟ้องต่อศาลแขวงของสหรัฐฯ ในเขตโคลัมเบีย โดยกล่าวหาว่ากระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ ภายใต้การนำของแอนโทนี บลิงเคน รัฐมนตรีต่างประเทศนั้น ได้จงใจหลีกเลี่ยงกฎหมายสิทธิมนุษยชนของสหรัฐฯ เพื่อดำเนินการสนับสนุนทางการเงินและช่วยเหลือหน่วยทหารของอิสราเอลที่ถูกกล่าวหาว่าก่ออาชญากรรมในฉนวนกาซาและเขตเวสต์แบงก์ที่อิสราเอลยึดครอง

คดีนี้ยื่นฟ้องโดยชาวปาเลสไตน์ 5 คนในฉนวนกาซา, เวสต์แบงก์ และสหรัฐฯ โดยโจทก์หลักคือครูชาวกาซารายหนึ่งซึ่งต้องพลัดถิ่นถึง 7 ครั้งในสงครามปัจจุบัน และสูญเสียสมาชิกในครอบครัวไป 20 คน

ทั้งนี้ กฎหมาย Leahy Laws ห้ามไม่ให้สหรัฐฯ ให้ความช่วยเหลือทางทหารแก่บุคคลหรือกองกำลังความมั่นคงที่ละเมิดสิทธิมนุษยชนอย่างร้ายแรงและยังไม่ได้รับการนำตัวเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม โดยทั้งแอฟริกาใต้ในศาลโลก และองค์กรนิรโทษกรรมสากลได้กล่าวหาอิสราเอลว่า ก่ออาชญากรรมการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์และอาชญากรรมสงคราม ซึ่งอิสราเอลได้ปฏิเสธข้อกล่าวหาดังกล่าว

รัฐบาลสหรัฐฯ ถูกวิจารณ์จากกลุ่มสิทธิมนุษยชนว่า ยังคงสนับสนุนอิสราเอลโดยไม่มีการเปลี่ยนแปลงนโยบายที่สำคัญใด ๆ

"การที่กระทรวงการต่างประเทศตั้งใจไม่บังคับใช้กฎหมาย Leahy Law เป็นเรื่องที่น่าตกใจอย่างยิ่งเมื่อพิจารณาถึงการเพิ่มขึ้นอย่างไม่เคยมีมาก่อนของการละเมิดสิทธิมนุษยชนของอิสราเอลนับตั้งแต่สงครามกาซาเริ่มขึ้นเมื่อวันที่ 7 ต.ค. 2566" คำฟ้องระบุ

กระทรวงสาธารณสุขของกาซารายงานว่า การทำสงครามของอิสราเอลในฉนวนกาซาทำให้มีผู้เสียชีวิตกว่า 45,000 คน และการโจมตีของอิสราเอลยังทำให้ประชากรในกาซาเกือบทั้งหมด 2.3 ล้านคนต้องพลัดถิ่น และก่อให้เกิดวิกฤตด้านความอดอยาก

สงครามครั้งล่าสุดในความขัดแย้งระหว่างอิสราเอลและปาเลสไตน์ที่ดำเนินมายาวนานนั้น เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 7 ต.ค. 2566 เมื่อกลุ่มติดอาวุธฮามาสของปาเลสไตน์เปิดฉากโจมตีอิสราเอล โดยสังหารผู้คน 1,200 คน และจับตัวประกันประมาณ 250 คน

ด้านกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐปฏิเสธที่จะแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับรายงานข่าวนี้ และขอให้นักข่าวสอบถามไปยังกระทรวงยุติธรรมสหรัฐฯ ซึ่งก็ยังไม่ได้ออกมาแสดงความเห็นแต่อย่างใด


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ