รัฐบาลใหม่ของซีเรียเปิดฉากปฏิบัติการด้านความมั่นคงในพื้นที่ชายฝั่งเมื่อวันพฤหัสบดีที่ผ่านมา (26 ธ.ค.) ภายหลังเกิดเหตุการณ์สังหารเจ้าหน้าที่ตำรวจ 14 นายในวันก่อนหน้า โดยให้คำมั่นว่าจะไล่ล่า "ซากตกค้าง" ต่อรัฐบาลของนายบาชาร์ อัล-อัสซาด ที่ถูกโค่นอำนาจ ซึ่งถูกกล่าวหาว่าเป็นผู้อยู่เบื้องหลังการโจมตีครั้งนี้ ตามรายงานของสื่อของรัฐ
เหตุรุนแรงในเขตตาร์ตุส พื้นที่ชายฝั่งซึ่งเป็นถิ่นที่อยู่ของชาวอะละวี (Alawite) จำนวนมากที่สนับสนุนอัสซาด ถือเป็นความท้าทายครั้งร้ายแรงที่สุดต่อรัฐบาลใหม่ที่นำโดยกลุ่มอิสลามนิกายซุนนี ซึ่งเพิ่งจะขับไล่อัสซาดออกจากอำนาจไปเมื่อวันที่ 8 ธ.ค.
สำนักข่าวรอยเตอร์รายงานว่า ชนกลุ่มน้อยอะละวี ซึ่งแตกสาขามาจากอิสลามนิกายชีอะห์ เคยมีอำนาจอย่างกว้างขวางในซีเรียภายใต้การนำของอัสซาด โดยมีอิทธิพลเหนือหน่วยงานความมั่นคงที่อัสซาดใช้เพื่อปราบปรามฝ่ายตรงข้ามในช่วงสงครามกลางเมืองที่ยาวนานถึง 13 ปี รวมถึงใช้ในการปราบปรามผู้เห็นต่างตลอดหลายทศวรรษของการปกครองที่โหดร้ายภายใต้รัฐตำรวจของอัสซาด
สำนักข่าวซานา (SANA) ของรัฐบาลซีเรีย รายงานว่า กองกำลังความมั่นคงเริ่มปฏิบัติการในตาร์ตุสเพื่อ "ควบคุมความมั่นคง เสถียรภาพ และสันติภาพของพลเรือน รวมทั้งไล่ล่าซากตกค้างของกองกำลังอัสซาดที่ยังหลบซ่อนตามป่าเขา"
การปราบปรามดังกล่าวเกิดขึ้นขณะที่ทางการซีเรียออกมาเตือนถึงความพยายามในการปลุกปั่นความขัดแย้งทางศาสนา หลังจากที่มีการเผยแพร่วิดีโอบนโซเชียลมีเดียเมื่อปลายเดือนพ.ย. ซึ่งแสดงให้เห็นภาพเหตุเพลิงไหม้ภายในสักการสถานของชาวอะละวีในเมืองอะเลปโป ทางด้านกระทรวงมหาดไทยของซีเรียระบุว่า เหตุรุนแรงดังกล่าวน่าจะเป็นฝีมือของกลุ่มบุคคลที่ไม่ทราบฝ่าย และเจ้าหน้าที่กำลังทำงาน "ทั้งวันทั้งคืน" เพื่อปกป้องศาสนสถาน
กลุ่มฮายัต ทาห์รีร์ อัล-ชาม (HTS) ซึ่งเป็นอดีตเครือข่ายของอัลกออิดะห์ และเป็นผู้นำในการต่อสู้จนสามารถโค่นล้มอัสซาดได้สำเร็จนั้น ได้ออกมาย้ำหลายครั้งว่าจะให้ความคุ้มครองแก่ชนกลุ่มน้อยต่าง ๆ ที่อาศัยอยู่ในซีเรีย ท่ามกลางความหวาดกลัวของชนกลุ่มน้อยเหล่านั้น รวมถึงชาวคริสต์ ที่กังวลว่ารัฐบาลใหม่อาจพยายามจัดตั้งรัฐบาลอิสลาม
ในย่านชาวอะละวีแห่งหนึ่งใจกลางกรุงดามัสกัส ชีคอาลี ดารีร์ ผู้นำศาสนาชาวอะละวี เปิดเผยว่า บ้านเรือนของประชาชนถูกทำลาย และผู้คนถูกทำร้ายร่างกาย เพียงเพราะความแตกต่างทางศาสนา แม้ว่าทางกลุ่ม HTS จะให้คำมั่นสัญญาว่าจะปฏิบัติต่อชาวอะละวีด้วยความเคารพก็ตาม โดยชีคดารีร์กล่าวโทษว่าเรื่องนี้เป็นฝีมือของ "มือที่สาม" ที่ต้องการสร้างความแตกแยก
ชีคดารีร์กล่าวกับสำนักข่าวรอยเตอร์ว่า ทางชุมชนได้พยายามยื่นไมตรีให้กับรัฐบาลใหม่ แต่กลับ "มีการละเมิดเกิดขึ้นหลายครั้ง" โดยอ้างถึงรายงานหลายฉบับที่ระบุว่า มีประชาชนถูกทำร้ายร่างกายที่จุดตรวจ
ด้านนักรบของกลุ่ม HTS ในพื้นที่ออกมายอมรับว่า เมื่อวันพฤหัสบดีที่ผ่านมา มีเหตุการณ์ที่ชาวอะละวีถูกบังคับให้ลงจากรถโดยสารและถูกทำร้ายร่างกายเนื่องจากความแตกต่างทางศาสนาจริง แต่ปฏิเสธว่ากลุ่ม HTS ไม่ได้เป็นผู้ก่อเหตุ
"นี่เป็นความพยายามที่จะสร้างความแตกแยก และเราไม่ต้องการที่จะเข้าไปเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ ... ผู้คนนับพันต่างรู้สึกโกรธแค้น วิตกกังวล และรู้สึกว่าศักดิ์ศรีของพวกเขาถูกย่ำยี ... แต่เราทุกคนจะต้องยึดมั่นในสันติวิธี" ชีคดารีร์กล่าว
ทาเฮอร์ ดาววา อดีตทหารอาสาชาวอะละวีวัย 38 ปี ที่เคยรับใช้อัสซาด กล่าวว่า ไม่ควรเหมารวมว่าความผิดทั้งหมดเป็นของนิกายใดนิกายหนึ่ง "เราไม่ต้องการความแตกแยก"
ทั้งนี้ ความตึงเครียดทางศาสนาทวีความรุนแรงขึ้น เมื่อผู้ชุมนุมตะโกนคำว่า "โอ้ อาลี!" ระหว่างการชุมนุมที่หน้าที่ทำการรัฐบาลท้องถิ่นในเมืองตาร์ตุส ตามภาพที่ถูกเผยแพร่บนโซเชียลมีเดียเมื่อวันพุธที่ผ่านมา (25 ธ.ค.)
คำว่า "อาลี" ในที่นี้ หมายถึง อาลี อิบน์ อะบี ฏอลิบ ญาติของศาสดามุฮัมมัด ผู้เป็นที่เคารพนับถือของชาวมุสลิม แต่ชาวอลาวีและชาวชีอะห์จะให้ความเคารพเป็นพิเศษ เนื่องจากเชื่อว่า อาลีและผู้สืบเชื้อสายของเขาคือผู้ที่ควรจะเป็นผู้นำของประชาคมอิสลาม
ด้านกระทรวงสารนิเทศของซีเรียได้ออกประกาศห้าม "การเผยแพร่เนื้อหาหรือข่าวสารใด ๆ ที่มีลักษณะยั่วยุให้เกิดความแตกแยกทางศาสนา"