สถานพยาบาลที่ดูแลผู้ลี้ภัยนับหมื่นตามแนวชายแดนไทย-เมียนมาถูกสั่งปิด หลังจากประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ของสหรัฐฯ ประกาศระงับความช่วยเหลือต่างประเทศเกือบทั้งหมดเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ส่งผลให้เจ้าหน้าที่ไทยต้องย้ายผู้ป่วยหนักไปรักษาที่สถานพยาบาลแห่งอื่น
สำนักข่าวรอยเตอร์รายงานวันนี้ (29 ม.ค.) โดยอ้างแหล่งข่าวจากเจ้าหน้าที่ท้องถิ่นและกรรมการค่ายผู้อพยพว่า คณะกรรมการกาชาดระหว่างประเทศ (IRC) ซึ่งเป็นผู้ให้ทุนสนับสนุนคลินิกเหล่านี้โดยได้รับเงินสนับสนุนจากสหรัฐฯ ได้สั่งให้ปิดสถานพยาบาลต่าง ๆ ภายในวันศุกร์ที่ 31 ม.ค.
เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ทรัมป์สั่งระงับความช่วยเหลือเพื่อการพัฒนาจากหน่วยงานเพื่อการพัฒนาระหว่างประเทศสหรัฐฯ (USAID) เป็นเวลา 90 วัน เพื่อประเมินว่าสอดคล้องกับนโยบาย "อเมริกาต้องมาก่อน" (America First) ของทรัมป์หรือไม่ การระงับเงินช่วยเหลือครั้งนี้สร้างความปั่นป่วนให้กับองค์กรช่วยเหลือทั่วโลกที่พึ่งพาเงินทุนจากสหรัฐฯ
ทั้งนี้ ยังไม่เป็นที่แน่ชัดว่า การที่กระทรวงต่างประเทศสหรัฐฯ ประกาศยกเว้นความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมที่จำเป็นต่อชีวิตในช่วงที่ระงับความช่วยเหลือ 90 วันนั้น จะส่งผลอย่างไรบ้าง และยังไม่รู้ว่าศูนย์บริการสาธารณสุขในค่ายผู้ลี้ภัยทั้ง 9 แห่งที่มีผู้อาศัยอยู่ราว 100,000 คนนั้น จะได้รับผลกระทบกี่แห่งกันแน่
อนึ่ง สถานพยาบาลตามแนวชายแดนเหล่านี้ให้บริการผู้ลี้ภัยหลายหมื่นคนที่หนีภัยความขัดแย้งจากเมียนมา
บเวห์ เซ ซึ่งเป็นสมาชิกคณะกรรมการผู้ลี้ภัยประจำค่ายแม่หละ อำเภอท่าสองยาง จังหวัดตาก กล่าวในวันนี้ว่า IRC ได้จำหน่ายคนไข้ออกจากโรงพยาบาลแล้ว พร้อมทั้งสั่งห้ามประชาชน รวมถึงหญิงตั้งครรภ์และคนไข้ที่ต้องใช้ถังออกซิเจน ไม่ให้ใช้อุปกรณ์และยาของโรงพยาบาลอีกด้วย
ทั้งนี้ ระบบน้ำประปาและการจัดเก็บขยะในค่ายที่องค์กรนี้เคยช่วยดูแล ก็ได้รับผลกระทบไปด้วย
บเวห์ เซ กล่าวว่า ญาติของผู้ป่วยที่ถูกสั่งให้ออกจากโรงพยาบาลบางราย "พยายามหาถังออกซิเจน" เพื่อนำกลับไปใช้ที่บ้าน
ขณะเดียวกัน ครูโรงเรียนในพื้นที่ผู้ไม่ประสงค์ออกนามเปิดเผยว่า ผู้ป่วยราว 50 รายถูกจำหน่ายออกจากโรงพยาบาล แต่ยังมีผู้ป่วยอาการหนักอีกหลายรายที่ยังต้องพักรักษาตัวที่โรงพยาบาลในแม่หละ รวมถึงเด็กที่กำลังพักฟื้นจากการผ่าตัดหัวใจ
"ปกติโรงพยาบาลนี้รับคนไข้นอกวันละร้อยคน แต่ตอนนี้ไม่มีเลยสักคน" ครูคนดังกล่าวระบุ
ไน อู มอน ผู้อำนวยการโครงการมูลนิธิสิทธิมนุษยชนแห่งแผ่นดินมอญ (HURFOM) ซึ่งเป็นองค์กรระดับรากหญ้าในเมียนมาตอนใต้ แสดงความกังวลว่า ผู้ลี้ภัยในค่ายอาจไม่ได้รับการดูแลสุขภาพขั้นพื้นฐานที่จำเป็น
"สถานการณ์น่ากลัวมาก เพราะผู้ลี้ภัยต้องพึ่งพาความช่วยเหลือเหล่านี้ในการรักษาพยาบาลทุกวัน"