ประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ของจีน กล่าวระหว่างการพบกับนางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรีของไทย ณ กรุงปักกิ่ง วันนี้ (6 ก.พ.) ว่า จีนและไทยควรกระชับความสัมพันธ์และขยายความร่วมมือให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น เพื่อรับมือกับความท้าทายของโลกที่นับวันจะเพิ่มมากขึ้น
สำนักข่าวรอยเตอร์รายงานว่า การเยือนจีนอย่างเป็นทางการของนายกฯ ไทยระหว่างวันที่ 5-8 ก.พ.นี้ นับเป็นครั้งแรกหลังเข้ารับตำแหน่งเมื่อเดือนส.ค.ปีที่แล้ว และยังเป็นการเฉลิมฉลองวาระครบรอบ 50 ปี ความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างสองประเทศ
ปธน.สีได้หยิบยกตัวอย่างความร่วมมือสำคัญ โดยเฉพาะโครงการรถไฟความเร็วสูงที่จะเชื่อมกรุงเทพฯ กับนครคุนหมิงทางตะวันตกเฉียงใต้ของจีน พร้อมชี้ว่า เศรษฐกิจดิจิทัลและยานยนต์ไฟฟ้า (EV) คือพื้นที่ใหม่ที่ทั้งสองฝ่ายน่าจะร่วมมือกันได้อีกมาก
สถานีโทรทัศน์กลางแห่งประเทศจีน (CCTV) รายงานคำกล่าวของปธน.สีว่า "ในยุคที่โลกกำลังเผชิญความเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในรอบร้อยปี จีนและไทยควรเสริมสร้างความเชื่อมั่นในผลประโยชน์เชิงยุทธศาสตร์ร่วมกัน และให้การสนับสนุนซึ่งกันและกันอย่างแข็งขัน"
คำกล่าวดังกล่าวมีขึ้นหลังจากที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐฯ ประกาศขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจากจีนเพิ่มอีก 10%
ประเด็นสำคัญที่ทั้งสองฝ่ายหยิบยกมาพูดคุยกันคือเรื่องแก๊งหลอกลวงออนไลน์และข้อกังวลด้านความปลอดภัย โดยเฉพาะกรณีนักแสดงจีน หวัง ซิง ที่ถูกหลอกมาทำงานถ่ายทำภาพยนตร์ในไทยแล้วถูกลักพาตัวไปยังศูนย์แก๊งคอลเซ็นเตอร์ในเมียนมา ก่อนจะได้รับการช่วยเหลือออกมา
ด้านรัฐบาลไทยซึ่งห่วงว่าเรื่องนี้จะกระทบภาคท่องเที่ยว ได้พยายามสร้างความมั่นใจให้นักท่องเที่ยวจีนที่เป็นกลุ่มใหญ่ที่สุดของไทย
"ความปลอดภัยของประชาชนและนักท่องเที่ยวที่มาเมืองไทยเป็นเรื่องสำคัญที่สุดสำหรับรัฐบาล" นายกฯ แพทองธารย้ำ พร้อมเผยว่าทั้งสองประเทศจะร่วมกันพัฒนาระบบเตือนภัยเพื่อป้องกันอาชญากรรม
"ไทยพร้อมจับมือกับจีนในการปราบปรามแก๊งอาชญากรรมที่ใช้ไทยเป็นทางผ่าน"
เมื่อวันอังคาร (4 ก.พ.) รัฐบาลไทยประกาศว่าจะสั่งตัดไฟบางพื้นที่ตามแนวชายแดนเมียนมา เพื่อปราบปรามแก๊งคอลเซ็นเตอร์
ด้านผู้นำจีนชื่นชมมาตรการของไทยในการปราบปรามการพนันออนไลน์และแก๊งคอลเซ็นเตอร์ พร้อมเรียกร้องให้ทั้งสองประเทศยกระดับความร่วมมือทั้งด้านการบังคับใช้กฎหมาย ความมั่นคง และกระบวนการยุติธรรม เพื่อปกป้องชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน