คณะกรรมการการเลือกตั้งโรมาเนียมีมติห้าม เกอลิน จอร์เจสกู ผู้สมัครฝ่ายขวาจัดที่สนับสนุนรัสเซีย ลงสมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดีในเดือนพ.ค.นี้ โดยการตัดสินใจดังกล่าวอาจซ้ำเติมวิกฤตการณ์ทางรัฐธรรมนูญในโรมาเนีย ซึ่งเป็นประเทศสมาชิกสหภาพยุโรปและนาโต ให้ทวีความรุนแรงยิ่งขึ้น
สำนักข่าวรอยเตอร์รายงานเมื่อวานนี้ (9 มี.ค.) ว่า เหตุการณ์ยกเลิกการเลือกตั้งปธน.โรมาเนียเมื่อวันที่ 6 ธ.ค. อันเนื่องมาจากข้อกล่าวหาการแทรกแซงของรัสเซียเพื่อช่วยเหลือจอร์เจสกูนั้น ได้ผลักดันให้โรมาเนียกลายเป็นจุดศูนย์กลางความขัดแย้งระหว่างรัฐบาลสหรัฐฯ ของปธน.โดนัลด์ ทรัมป์ กับประเทศในยุโรป เกี่ยวกับนิยามของคุณค่าประชาธิปไตย
คณะกรรมการการเลือกตั้งชี้แจงว่า การตัดสิทธิ์จอร์เจสกูครั้งนี้ สืบเนื่องจากคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญที่ยกเลิกการเลือกตั้งครั้งก่อน เพราะจอร์เจสกูละเมิดกฎระเบียบการลงคะแนนเสียง โดยระบุว่า "เป็นไปไม่ได้ที่จะอนุญาตให้บุคคลที่เคยถูกวินิจฉัยว่าขาดคุณสมบัติ กลับมาลงสมัครรับเลือกตั้งและดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีได้อีก"
จอร์เจสกู ผู้ที่เคยเป็นตัวเต็งในการเลือกตั้งครั้งก่อนอย่างไม่คาดคิด ได้โพสต์ข้อความเป็นภาษาอังกฤษบนเอ็กซ์ (ทวิตเตอร์) ว่า "นี่คือการโจมตีหัวใจของประชาธิปไตยทั่วโลกโดยตรง! ยุโรปกลายเป็นเผด็จการ โรมาเนียตกอยู่ภายใต้ทรราช!"
อนึ่ง การยกเลิกการเลือกตั้งในโรมาเนียครั้งก่อนทำให้รัฐบาลทรัมป์มองว่า เป็นความพยายามของรัฐบาลยุโรปในการปิดกั้นเสรีภาพการแสดงความคิดเห็นและกำจัดคู่แข่งทางการเมือง
คณะกรรมการการเลือกตั้ง ซึ่งประกอบด้วยผู้พิพากษาศาลฎีกาและตัวแทนพรรคการเมือง มีมติ 10 ต่อ 4 ไม่อนุญาตให้จอร์เจสกูลงสมัคร อย่างไรก็ตาม เขายังสามารถยื่นอุทธรณ์ต่อศาลรัฐธรรมนูญได้
เหตุการณ์นี้นำไปสู่การชุมนุมประท้วงของผู้สนับสนุนจอร์เจสกูหลายร้อยคนนอกสำนักงานการเลือกตั้ง พวกเขาตะโกนว่า "ขโมย!" "คนทรยศ!" และ "เสรีภาพ" พร้อมขว้างปาก้อนหิน รื้อทางเท้า พลิกรถยนต์ให้หงายท้อง และจุดไฟเผาถังขยะ ส่งผลให้ตำรวจต้องใช้แก๊สน้ำตาสลายการชุมนุม
ปัจจุบัน จอร์เจสกูกำลังถูกสอบสวนคดีอาญา 6 กระทง รวมถึงข้อหาเป็นสมาชิกองค์กรฟาสซิสต์และให้ข้อมูลเท็จเกี่ยวกับเงินทุนหาเสียง ทั้งนี้ จอร์เจสกูเอาชนะการเลือกตั้งรอบแรกจากการรณรงค์ผ่านติ๊กต๊อกอย่างเข้มข้น และอ้างว่าไม่ได้ใช้เงินในการหาเสียงเลย พร้อมกับปฏิเสธข้อกล่าวหาทั้งหมด