ผู้นำซีเรียประกาศเมื่อวันอาทิตย์ (9 มี.ค.) ว่าจะไล่ล่าผู้ก่อเหตุปะทะรุนแรงระหว่างกลุ่มสนับสนุนอดีตประธานาธิบดีบาชาร์ อัล-อัสซาด กับกลุ่มฮายัต ทาห์รีร์ อัล-ชาม (HTS) ซึ่งเป็นรัฐบาลอิสลามิสต์ชุดปัจจุบัน พร้อมยืนยันจะดำเนินคดีกับผู้ใช้อำนาจโดยมิชอบทุกคน
การปะทะที่ยืดเยื้อเป็นวันที่ 4 ในพื้นที่ชายฝั่งทะเล ซึ่งเป็นฐานที่มั่นของอัสซาด ได้คร่าชีวิตผู้คนไปแล้วกว่า 1,000 ราย ส่วนใหญ่เป็นพลเรือน ตามรายงานของกลุ่มสังเกตการณ์สิทธิมนุษยชนซีเรีย
อาเหม็ด อัล-ชารา ผู้นำกลุ่มกบฏ HTS ที่โค่นล้มอัสซาดเมื่อเดือนธ.ค.ปีที่แล้ว และขณะนี้ดำรงตำแหน่งรักษาการประธานาธิบดีซีเรีย ได้กล่าวปราศรัยผ่านโทรทัศน์แห่งชาติและสื่อสังคมออนไลน์ โดยกล่าวหากลุ่มสนับสนุนอัสซาดและ "บรรดามหาอำนาจต่างชาติ" ว่าพยายามปลุกปั่นความไม่สงบ
"วันนี้ ในห้วงเวลาวิกฤตนี้ เรากำลังเผชิญภัยคุกคามใหม่จากความพยายามของกลุ่มที่ยังจงรักภักดีต่อระบอบเก่าและผู้สนับสนุนจากต่างชาติ ที่จะจุดชนวนความขัดแย้งครั้งใหม่ และผลักดันประเทศของเราให้จมดิ่งสู่สงครามกลางเมือง โดยมีเป้าหมายทำลายเอกภาพและเสถียรภาพของชาติ" ปธน.ชารากล่าว
ก่อนหน้านี้ แม่ทัพระดับสูงของกองกำลังติดอาวุธชาวเคิร์ดในซีเรีย ซึ่งกำลังสู้รบกับตุรกีในอีกแนวรบหนึ่ง ชี้ว่า กลุ่มอิสลามิสต์ที่ได้รับการหนุนหลังจากตุรกีเป็นผู้ก่อเหตุรุนแรงที่น่าวิตกที่สุด รวมถึงการสังหารพลเรือนชาวอะละวี (Alawite) ซึ่งเป็นนิกายย่อยของศาสนาอิสลามนิกายชีอะห์ และเป็นชนกลุ่มน้อยที่ให้การสนับสนุนอัสซาดอย่างแข็งขัน ด้านตุรกียังไม่ได้ตอบโต้ข้อกล่าวหานี้
ที่สำนักงานใหญ่สหประชาชาติในนครนิวยอร์ก แหล่งข่าวทางการทูตเปิดเผยว่า สหรัฐฯ และรัสเซีย ขอให้คณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ (UNSC) จัดประชุมลับในวันจันทร์ (10 มี.ค.) เพื่อหารือสถานการณ์ความรุนแรงที่ลุกลามในซีเรีย
ทำเนียบประธานาธิบดีซีเรียแถลงว่า กำลังจัดตั้งคณะกรรมการอิสระเพื่อสอบสวนเหตุปะทะและการสังหารที่เกิดขึ้นจากทั้งสองฝ่าย หลังจากมีชาวซีเรียจำนวนมากเผยแพร่วิดีโอที่แสดงภาพการสังหารโหดโดยกลุ่มนักรบ ซึ่งสำนักข่าวรอยเตอร์ยังไม่สามารถตรวจสอบความถูกต้องของวิดีโอดังกล่าวได้
"เราจะดำเนินการเอาผิดอย่างถึงที่สุดกับทุกคนที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการนองเลือด การทำร้ายพลเรือน การใช้อำนาจเกินขอบเขต หรือการแสวงหาผลประโยชน์จากตำแหน่งหน้าที่โดยมิชอบ จะไม่มีใครอยู่เหนือกฎหมาย" ปธน.ชารากล่าวย้ำในวิดีโอ หลังจากที่ก่อนหน้านี้ได้เรียกร้องให้ทุกฝ่ายหันหน้าเข้าหากันเพื่อสร้างความปรองดองในชาติ
รามี อับดุลเราะห์มาน ผู้อำนวยการกลุ่มสังเกตการณ์สิทธิมนุษยชนซีเรีย กล่าวเมื่อวันอาทิตย์ว่า ยอดผู้เสียชีวิตครั้งนี้ ถือเป็นหนึ่งในเหตุการณ์ที่มีผู้เสียชีวิตมากที่สุด นับตั้งแต่เหตุการณ์โจมตีด้วยอาวุธเคมีโดยกองกำลังของอัสซาดในปี 2556 ซึ่งมีผู้เสียชีวิตราว 1,400 คน ในเขตชานกรุงดามัสกัส
แหล่งข่าวฝ่ายความมั่นคงของซีเรียเปิดเผยว่า มีสมาชิกกองกำลังเสียชีวิตกว่า 300 นาย ในการปะทะกับอดีตทหารที่ยังจงรักภักดีต่ออัสซาด ซึ่งเริ่มขึ้นตั้งแต่วันพฤหัสบดี (6 มี.ค.)
สำนักข่าว SANA ของทางการซีเรียรายงานเมื่อวันอาทิตย์ว่า มีการค้นพบหลุมฝังศพหมู่ ซึ่งบรรจุร่างของเจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคงที่เพิ่งเสียชีวิต ใกล้กับเมืองคาร์ดาฮา ซึ่งเป็นบ้านเกิดของอัสซาด
การโจมตีดังกล่าวได้ลุกลามกลายเป็นการสังหารเพื่อแก้แค้นชาวอะละวี ซึ่งเป็นกลุ่มที่ถูกมองว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับการกระทำทารุณในช่วงสงครามของอัสซาด ต่อประชากรส่วนใหญ่ที่เป็นชาวมุสลิมสุหนี่ในซีเรีย
ทั้งสหรัฐฯ และโวลเกอร์ เติร์ก ข้าหลวงใหญ่สิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ ได้เรียกร้องให้ผู้นำชั่วคราวของซีเรียนำตัวผู้กระทำผิดมาลงโทษ
มาซลูม อับดี ผู้บัญชาการกองกำลังชาวเคิร์ด ให้ความเห็นกับรอยเตอร์เป็นลายลักษณ์อักษรว่า กลุ่มติดอาวุธ "ที่ได้รับการสนับสนุนจากตุรกีและกลุ่มอิสลามหัวรุนแรง" เป็นผู้รับผิดชอบหลักต่อเหตุรุนแรงที่เกิดขึ้น และเรียกร้องให้ปธน.ชาราดำเนินการเอาผิดกับกลุ่มเหล่านี้
ด้านทางการดามัสกัสระบุว่า เหตุสังหารหมู่เยาวชนหลายสิบคนและการบุกโจมตีบ้านเรือนในหมู่บ้านและเมืองที่ชาวอะละวี ชนกลุ่มน้อยที่เคยมีอำนาจปกครองซีเรียอาศัยอยู่นั้น เป็นฝีมือของกลุ่มติดอาวุธนอกแถวที่เข้ามาช่วยเหลือกองกำลังรักษาความมั่นคง
ชาวบ้านคนหนึ่งในเมืองคัดมูสเปิดเผยกับรอยเตอร์ว่า ผู้คนในเมืองและหมู่บ้านใกล้เคียงต่างพากันหลบหนีไปยังทุ่งนาเพื่อความปลอดภัย พร้อมระบุว่า ขบวนรถติดอาวุธ ซึ่งประกอบด้วยรถถัง อาวุธหนัก และโดรนขนาดเล็ก ได้เผาทำลายบ้านเรือนและรถยนต์ตามถนนสายหลักใกล้กับเมืองของเขา
"เรายังไม่รู้ว่ามีคนเสียชีวิตไปเท่าไหร่ เพราะพวกเขายังไม่ได้กลับบ้าน และยังไม่มีใครกล้ากลับไปในอีก 2-3 วันข้างหน้า" ชาวบ้านคนดังกล่าว ซึ่งขอสงวนนามเนื่องจากเกรงว่าจะถูกแก้แค้น กล่าว
แหล่งข่าวฝ่ายความมั่นคงเปิดเผยว่า กลุ่มก่อความไม่สงบที่สนับสนุนอัสซาดได้โจมตีระบบสาธารณูปโภคหลายแห่งในช่วง 24 ชั่วโมงที่ผ่านมา ส่งผลให้กระแสไฟฟ้าและน้ำประปาถูกตัดขาด
แหล่งข่าวจากตำรวจอีกรายหนึ่งเปิดเผยว่า ทางการดามัสกัสกำลังส่งกำลังเสริมเข้าไปในเขตลาตาเกีย ซึ่งมีภูมิประเทศเป็นภูเขาสูงและป่าทึบ ทำให้กลุ่มติดอาวุธต่อต้านรัฐบาลสามารถใช้เป็นที่หลบซ่อนและปฏิบัติการได้