เจ้าหน้าที่ระดับสูงขององค์การเพื่อการพัฒนาระหว่างประเทศของสหรัฐฯ (USAID) สั่งให้พนักงานทำลายเอกสารจำนวนมาก ตามที่ระบุในเอกสารศาลที่ยื่นโดยสหภาพพนักงานของรัฐบาลเมื่อวานนี้ (11 มี.ค.) โดยสหภาพฯ ได้ร้องขอให้ผู้พิพากษาระงับคำสั่งดังกล่าว
สหภาพพนักงานได้อ้างถึงอีเมลจาก เอริกา คาร์ รักษาการเลขาธิการบริหารของ USAID ที่สั่งการให้พนักงานมาที่สำนักงานในวันอังคารเพื่อ "จัดการตู้เก็บเอกสารลับและเอกสารบุคคล" โดยในอีเมลระบุให้ "ทำลายเอกสารด้วยเครื่องย่อยกระดาษให้มากที่สุดก่อน และเก็บถุงเผาเอกสารไว้ใช้เมื่อเครื่องย่อยไม่สามารถใช้งานได้หรือต้องพักเครื่อง" อย่างไรก็ตาม อีเมลไม่ได้ระบุรายละเอียดว่าเป็นเอกสารประเภทใด
ทางสหภาพฯ ระบุว่า คำสั่งนี้ "บ่งชี้ถึงการทำลายบันทึกของหน่วยงานในวงกว้างอย่างเร่งด่วน" ซึ่งเป็นการละเมิดกฎหมายการเก็บรักษาบันทึกของรัฐบาลกลาง และอาจเป็นการทำลายหลักฐานในคดีของสหภาพฯ ที่มีเป้าหมายเพื่อยับยั้งการยุบ USAID ภายใต้การบริหารของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์
แอนนา เคลลี รองโฆษกทำเนียบขาวได้โพสต์ข้อความบนเอ็กซ์ (ทวิตเตอร์) โดยออกมาตอบโต้รายงานข่าวเรื่องการทำลายเอกสารว่าเป็น "ข่าวปลอมที่สร้างความตื่นตระหนก" และระบุว่าเอกสารเหล่านี้เป็น "เอกสารเก่า ส่วนใหญ่เป็นเนื้อหาที่ได้รับความอนุเคราะห์ (เนื้อหาจากหน่วยงานอื่น) และต้นฉบับยังคงมีอยู่ในระบบคอมพิวเตอร์ที่เป็นความลับ"
เคลลียังระบุด้วยว่า อาคาร USAID จะถูกใช้โดยสำนักงานศุลกากรและป้องกันชายแดนสหรัฐฯ (CBP) ในเร็ว ๆ นี้
อนึ่ง คดีฟ้องร้องนี้ถูกยื่นโดยสหพันธ์พนักงานรัฐบาลอเมริกัน (AFGE) และสมาคมการต่างประเทศอเมริกัน ซึ่งเป็นตัวแทนของพนักงานรัฐบาล รวมถึงองค์กรต่อต้านความยากจนอ็อกซ์แฟม อเมริกา (Oxfam America) โดยกลุ่มเหล่านี้กล่าวหาว่า ทรัมป์ใช้อำนาจเกินขอบเขตในการปิดหน่วยงานอิสระที่จัดตั้งโดยรัฐสภา ด้วยการไล่ออกหรือให้พนักงานลาพักงาน และยกเลิกข้อตกลงกับพันธมิตรภายนอก
โจทก์ได้ยื่นคำร้องต่อผู้พิพากษาศาลแขวงสหรัฐฯ คาร์ล นิโคลส์ เมื่อวานนี้ เพื่อขอคำสั่งคุ้มครองชั่วคราวเพื่อระงับการทำลายเอกสาร โดยโจทก์ระบุว่า หากตนชนะคดีในที่สุด การสูญเสียบันทึกสำคัญเกี่ยวกับบุคลากรหรือบันทึกอื่น ๆ อาจทำให้ USAID ไม่สามารถดำเนินงานต่อได้
ด้านผู้พิพากษาได้สั่งให้ทั้งสองฝ่ายส่งรายงานสถานะภายในเช้าวันพุธ (12 มี.ค.) โดยเสนอกำหนดการสำหรับการยื่นคำแถลงเกี่ยวกับคำร้อง และระบุข้อขัดแย้งระหว่างทั้งสองฝ่าย
เมื่อเดือนก.พ. ผู้พิพากษานิโคลส์ ซึ่งได้รับการแต่งตั้งโดยทรัมป์ ได้อนุญาตให้รัฐบาลดำเนินการตามแผนที่จะให้พนักงาน USAID มากกว่า 2,000 คนลาพักงาน โดยภายใต้การบริหารของทรัมป์นั้น USAID ได้ยกเลิกโครงการไปแล้วมากกว่า 80% และปลดพนักงานส่วนใหญ่ออก
ทั้งนี้ ในอีกคดีหนึ่งที่ยื่นโดยผู้รับเหมาและผู้รับทุนของ USAID ผู้พิพากษาศาลรัฐบาลกลางได้ตัดสินเมื่อวันจันทร์ (10 มี.ค.) ว่า รัฐบาลทรัมป์ไม่สามารถปฏิเสธที่จะใช้จ่ายเงินช่วยเหลือต่างประเทศที่รัฐสภาจัดสรรให้ได้ แม้ว่าผู้พิพากษาจะไม่ได้สั่งให้ฟื้นฟูสัญญาที่ถูกยกเลิกก็ตาม โดยในคดีดังกล่าว รัฐบาลทรัมป์ได้ขัดขืนและไม่ปฏิบัติตามคำสั่งศาลที่ให้ปล่อยเงินทุนที่ถูกระงับไว้หลายครั้ง