อิหร่านและสหรัฐฯ เตรียมเปิดการเจรจาระดับสูงที่ประเทศโอมานในวันนี้ (12 เม.ย.) เพื่อพยายามฟื้นการเจรจาเกี่ยวกับโครงการนิวเคลียร์ของอิหร่านซึ่งกำลังพัฒนาอย่างรวดเร็ว โดยประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ของสหรัฐฯ ขู่ว่าจะใช้กำลังทางทหาร หากไม่มีข้อตกลงเกิดขึ้น
แหล่งข่าวในอิหร่านเปิดเผยว่า อยาตอลเลาะห์ อาลี คาเมเนอี ผู้นำสูงสุดของประเทศได้มอบอำนาจเต็มให้รัฐมนตรีต่างประเทศ อับบาส อารักชี เป็นหัวหน้าคณะเจรจาในครั้งนี้ ขณะที่ฝั่งสหรัฐฯ นำโดย สตีฟ วิทคอฟฟ์ ผู้แทนพิเศษด้านตะวันออกกลางของทรัมป์
ฝ่ายอิหร่านเข้าร่วมการเจรจาอย่างระมัดระวัง พร้อมตั้งข้อสงสัยว่าจะนำไปสู่ข้อตกลงได้จริงหรือไม่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งจากท่าทีแข็งกร้าวของทรัมป์ที่เคยขู่จะใช้กำลังถล่มอิหร่าน หากยังเดินหน้าโครงการนิวเคลียร์ต่อไป
แม้ทั้งสองฝ่ายต่างแสดงความหวังว่าการเจรจาอาจมีความคืบหน้า แต่ก็ยังมีความเห็นไม่ตรงกันในหลายประเด็น รวมถึงยังไม่ได้ข้อสรุปว่าจะเจรจาแบบพบหน้ากันตามที่ทรัมป์ต้องการ หรือแบบทางอ้อมตามที่อิหร่านเสนอ
หากการเจรจามีสัญญาณบวก อาจช่วยลดความตึงเครียดในตะวันออกกลางที่ปะทุต่อเนื่องมาตั้งแต่ปี 2566 ไม่ว่าจะเป็นสงครามในกาซาและเลบานอน, การยิงขีปนาวุธระหว่างอิหร่านกับอิสราเอล, การโจมตีเรือในทะเลแดงโดยกลุ่มฮูตี และการล่มสลายของรัฐบาลซีเรีย
อย่างไรก็ตาม หากการเจรจาล้มเหลว ความเสี่ยงต่อสงครามที่ขยายวงกว้างในภูมิภาคซึ่งเป็นแหล่งส่งออกน้ำมันรายใหญ่ของโลก อาจทวีความรุนแรงขึ้น โดยอิหร่านเตือนประเทศเพื่อนบ้านที่มีฐานทัพสหรัฐฯ ว่า หากเข้าร่วมโจมตีอิหร่าน จะต้องเผชิญผลลัพธ์ที่ร้ายแรง
เจ้าหน้าที่อิหร่านระบุว่า การเจรจาครั้งนี้จะเน้นเฉพาะประเด็นนิวเคลียร์ และจะใช้เวลานานแค่ไหนนั้น ขึ้นอยู่กับความจริงใจและท่าทีของสหรัฐฯ
ทั้งนี้ อิหร่านยืนยันว่าจะไม่เจรจาในเรื่องขีปนาวุธหรือความสามารถด้านการป้องกันประเทศ
แม้อิหร่านย้ำว่าโครงการนิวเคลียร์มีเป้าหมายเพื่อการใช้งานด้านพลเรือน แต่หลายประเทศตะวันตกเชื่อว่า อิหร่านมีแผนสร้างระเบิดนิวเคลียร์ โดยชี้ว่า การเสริมสมรรถนะยูเรเนียมของอิหร่านเกินระดับที่จำเป็นสำหรับการใช้ในทางสันติ และใกล้เคียงกับระดับที่ใช้ในอาวุธนิวเคลียร์