มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ดออกแถลงการณ์เมื่อวันจันทร์ (21 เม.ย.) ว่า ได้ยื่นฟ้องรัฐบาลสหรัฐฯ ภายใต้การนำของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ต่อศาลรัฐบาลกลางกรณีระงับเงินช่วยเหลือ โดยชี้ว่าการกระทำดังกล่าวผิดกฎหมายและเกินขอบเขตอำนาจของรัฐบาล
ในคำฟ้องที่ยื่นต่อศาลแขวงสหรัฐฯ เขตแมสซาชูเซตส์ ฮาร์วาร์ดชี้แจงว่า รัฐบาลพยายามใช้การระงับเงินทุนเป็นเครื่องมือกดดันเพื่อเข้าควบคุมการตัดสินใจทางวิชาการของมหาวิทยาลัย
อลัน การ์เบอร์ อธิการบดีมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ดระบุในจดหมายที่ส่งถึงสมาชิกของประชาคมฮาร์วาร์ดว่า "ตลอดสัปดาห์ที่ผ่านมา รัฐบาลกลางได้ดำเนินการหลายขั้นตอน หลังจากที่ฮาร์วาร์ดปฏิเสธที่จะปฏิบัติตามคำสั่งที่ผิดกฎหมาย"
รัฐบาลทรัมป์อ้างเหตุผลของการกระทำครั้งนี้ว่าเป็นส่วนหนึ่งของความพยายามต่อต้านการเลือกปฏิบัติต่อชาวยิว ขณะเดียวกันก็พุ่งเป้าไปที่โครงการส่งเสริมความหลากหลายทางเชื้อชาติและประเด็นเพศสภาพในมหาวิทยาลัย
สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า เมื่อวันที่ 11 เม.ย. เจ้าหน้าที่รัฐบาลกลางได้ส่งหนังสือถึงฮาร์วาร์ด เพื่อเรียกร้องให้มีการปฏิรูปและการปรับโครงสร้างการบริหาร พร้อมระบุว่า "เงินลงทุนไม่ใช่สิทธิที่พึงได้รับ"
อย่างไรก็ตาม มหาวิทยาลัยปฏิเสธข้อเรียกร้องดังกล่าวในวันที่ 14 เม.ย. และเพียงไม่กี่ชั่วโมงหลังจากนั้น รัฐบาลได้ประกาศระงับเงินอุดหนุนรวมมูลค่า 2.2 พันล้านดอลลาร์ พร้อมเงินตามสัญญาอีก 60 ล้านดอลลาร์
ต่อมาในวันที่ 16 เม.ย. คริสตี โนเอม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงความมั่นคงแห่งมาตุภูมิขู่ว่าจะเพิกถอนสิทธิในการรับนักศึกษาต่างชาติ หากฮาร์วาร์ดไม่ส่งข้อมูลเกี่ยวกับพฤติกรรมผิดกฎหมายหรือความรุนแรงของนักศึกษาต่างชาติภายในสิ้นเดือนนี้
ทั้งนี้ นับตั้งแต่เข้ารับตำแหน่งเมื่อม.ค. รัฐบาลทรัมป์ได้ออกคำเตือนไปยังมหาวิทยาลัยชั้นนำหลายแห่งในสหรัฐฯ โดยระบุว่าพวกเขาอาจเผชิญกับการตัดเงินช่วยเหลือ หากไม่ปรับเปลี่ยนนโยบาย