เอชเอสบีซีระบุในรายงานที่ส่งให้สำนักข่าวซินหัวว่า น้ำมัน และก๊าซธรรมชาติเป็นผลิตภัณฑ์ที่ระเหยเป็นไอได้รวดเร็ว และติดไฟง่าย ดังนั้น บริษัทต่างๆจึงควรเตรียมพร้อมในการควบคุมดูแลผลิตภัณฑ์เหล่านี้เป็นพิเศษตั้งแต่กระบวนการผลิต การขนส่ง จนถึงการแปรรูป
รายงานระบุว่า “อุบัติเหตุครั้งนี้จะทำให้บริษัทด้านพลังงานเพิ่มค่าใช้จ่ายด้านความปลอดภัยในระบบการดำเนินงานมากยิ่งขึ้น"
ทั้งนี้ เกิดเหตุระเบิดขึ้นในเมืองชิงเต่า มณฑลซานตง ในช่วงเช้าของวันศุกร์ที่แล้ว หลังจากน้ำมันดิบได้รั่วไหลออกจากท่อลำเลียงน้ำมันใต้ดินของบริษัทซิโนเปค ผู้กลั่นน้ำมันรายใหญ่ที่สุดของประเทศ
เหตุระเบิดดังกล่าวส่งผลให้มีผู้เสียชีวิต 55 ราย สูญหาย 9 ราย และบาดเจ็บอีก 145 ราย
เอชเอสบีซีเปิดเผยว่า บริษัทน้ำมันต่างๆของจีนซึ่งรวมถึงซิโนเปค และปิโตรไชน่า ซึ่งเป็นผู้ผลิตน้ำมันที่ใหญ่ที่สุดของจีนเป็นผู้ดำเนินการโครงสร้างพื้นฐานจำนวนมากในประเทศ
รายงานของเอชเอสบีซีอ้างข้อมูลสถิติของประเทศ ซึ่งมีใจความว่า ภายในสิ้นปี 2555 นั้น จีนมีท่อลำเลียงน้ำมัน และก๊าซธรรมชาติความยาวทั้งสิ้น 90,123 กิโลเมตร ซึ่งเชื่อมต่อโรงกลั่นน้ำมัน และคลังผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวข้อง โดยท่อลำเลียงส่วนใหญ่เป็นของบริษัทซิโนเปค และปิโตรไชน่า
ปิโตรไชน่าครอบครองท่อส่งน้ำมันดิบความยาว 16,344 กิโลเมตร ท่อลำเลียงผลิตภัณฑ์น้ำมัน 9,437 กิโลเมตร คลังน้ำมันดิบขนาด 35.6 ล้านลูกบาศก์เมตร และระบบท่อส่งก๊าซธรรมชาติอีก 40,995 กิโลเมตร
ขณะที่ซิโนเปคเป็นเจ้าของท่อลำเลียงน้ำมันดิบ 7,100 กิโลเมตร ท่อขนส่งผลิตภัณฑ์น้ำมัน 9,614 กิโลเมตร คลังน้ำมันดิบขนาด 35.6 ล้านลูกบาศก์เมตร และระบบท่อส่งก๊าซธรรมชาติความยาว 6,856 กิโลเมตร
เมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา นายอู๋ ซินสง ผู้อำนวยการสำนักงานบริหารพลังงานแห่งชาติของจีน (NEA) ได้กระตุ้นให้บริษัทด้านพลังงานของจีนปรับปรุงในเรื่องความปลอดภัยในการดำเนินงาน หลังเกิดเหตุระเบิดดังกล่าว
นายอู๋กล่าวว่า ขณะนี้สำนักงานฯกำลังจัดทำแผนตรวจสอบความปลอดภัยอย่างครอบคลุม และได้เรียกร้องให้มีการตรวจสอบ และจัดการกับอันตรายต่างๆที่อาจเกิดขึ้นได้ สำนักข่าวซินหัวรายงาน