การประกาศดังกล่าวมีขึ้นในที่ประชุมฉุกเฉินซึ่งจัดขึ้นที่เมืองหลวงของประเทศกินี โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อหารือเรื่องการแพร่ระบาดของอีโบลาที่ปัจจุบันไม่สามารถควบคุมได้การแพร่ระบาดได้ และทำให้มีผู้เสียชีวิต 729 คนในประเทศแอฟริกา 4 ประเทศ โดยมีผู้เสียชีวิต 339 รายในกินี, 156 รายในไลบีเรีย 233 รายในเซียร์ราลีโอน และ 1 รายในไนจีเรีย
ประธานาธิบดีของกินี ไลบีเรีย เซียร์ราลีโอน และโกตดิวัวร์เห็งพ้องกันที่จะจัดกองกำลังความมั่นคงในการกักกันพรมแดนของทั้ง 4 ประเทศซึ่งพบผู้ติดเชื้ออีโบลาคิดเป็น 70% ของจำนวนทั้งสิ้น 1,323 ราย
เหล่าผู้นำยังเห็นพ้องที่จะเร่งดำเนินการเพื่อคุ้มครองเจ้าหน้าที่สาธารณสุขในพื้นที่ ตลอดจนส่งเสริมให้เจ้าหน้าที่เหล่านั้นกลับเข้าไปทำงาน โดยจะมีการจัดเจ้าหน้าที่สาธารณสุขหลายร้อยคนเพื่อรับมือการแพร่ระบาดดังกล่าว ขณะที่ปัจจุบันมีเจ้าหน้าที่ทางการแพทย์ที่เสียชีวิตกว่า 60 รายแล้ว เนื่องจากติดเชื้อไวรัสอีโบลาในระหว่างปฏิบัติงาน
ส่วนประเทศเซียร์ราลีโอนได้ประกาศสถานการณ์ฉุกเฉิน และเรียกร้องให้มีการแยกผู้ติดเชื้ออีโบลาออกจากบุคคลทั่วไป และได้ยกเลิกการเดินทางเยือนต่างประเทศของบรรดารัฐมนตรี
ทางด้านไนจีเรียก็ได้เพิ่มการเฝ้าระวังเพื่อสกัดการแพร่ระบาดของเชื้ออีโบล่าที่อาจเกิดขึ้น ภายหลังมีชาวไลบีเรียเสียชีวิตที่ไนจีเรีย 1 รายเมื่อวันที่ 25 ก.ค.
ทั้งนี้ชาติตะวันตก อาทิ สหรัฐ เยอรมนี อิตาลี และฝรั่งเศสก็ได้ออกคำเตือนห้ามพลเมืองเดินทางไปยัง 3 ประเทศแอฟริกาตะวันตก ได้แก่ กินี ไลบีเรีย และเซียร์ราลีโอน
ขณะที่ประธานาธิบดีบารัค โอบามาแห่งสหรัฐได้ประกาศว่า สหรัฐจะคัดกรองผู้แทนชาวแอฟริกาซึ่งจะเดินทางมายังสหรัฐ เพื่อเข้าร่วมประชุมยอดสหรัฐ-แอฟริกาซึ่งจะจัดขึ้นที่กรุงวอชิงตันสัปดาห์หน้า เพื่อหาอาการที่เกิดจากเชื้อไวรัสอีโบลา สำนักข่าวซินหัวรายงาน