การประกาศยุติการฉายภาพยนตร์ดังกล่าวเกิดขึ้นภายหลังมีคำขู่โรงภาพยนตร์ที่เตรียมฉายหนังเรื่องนี้ออกมาเมื่อหนึ่งวันก่อน
เจ้าหน้าที่สืบสวนของสหรัฐมีความเห็นว่า รัฐบาลเกาหลีเหนือมีส่วนเกี่ยวข้องกับการเจาะระบบคอมพิวเตอร์ของโซนี่ พิคเจอร์ส นำไปสู่การเปิดโปงข้อมูลของค่ายไม่ว่าจะเป็นอีเมลส่วนตัวของผู้บริหาร ข้อมูลส่วนตัวของพนักงาน และภาพยนตร์ที่เป็นทรัพย์สินของโซนี่ พิคเจอร์ส
ขณะเดียวกัน การยกเลิกการฉายภาพยนตร์ของโซนี่ พิคเจอร์ส บริษัทในเครือโซนี่ คอร์ปนั้น ยังเกิดขึ้นหลังจากที่ผู้จัดจำหน่ายภาพยนตร์ส่วนใหญ่ตัดสินใจไม่ฉาย The Interview ซึ่งมีกำหนดฉายรอบปฐมทัศน์ที่นิวยอร์ก 1 วันก่อนที่จะเข้าโรงภาพยนตร์ทั่วสหรัฐ ขณะที่การฉายรอบปฐมทัศน์ที่ลอส แองเจอลิสเมื่อสัปดาห์ก่อนดำเนินไปด้วยความเรียบร้อย
"ด้วยเหตุที่ผู้จัดส่วนใหญ่ตัดสินใจงดการฉายภาพยนตร์ The Interview เราจึงตัดสินใจไม่เดินหน้าการเปิดฉายในโรงภาพยนตร์ในวันที่ 25 ธ.ค." แถลงการณ์ของโซนี่ พิคเจอร์สระบุว่า "เราเคารพและเข้าใจการตัดสินใจของผู้ร่วมงานของเรา และแน่นอนว่า ความปลอดภัยของพนักงานและผู้เข้าชมในโรงภาพยนตร์นั้น เป็นสิ่งที่เราให้ความสำคัญสูงสุดไม่ต่างกัน"
การโจมตีดังกล่าว "เห็นได้ชัดว่ามีไว้เพื่อขัดขวางการเปิดฉายภาพยนต์ที่พวกนั้นไม่ชอบ" แถลงการณ์ระบุ
"เราสนับสนุนผู้สร้างภาพยนตร์ของเรา และสิทธิของคนเหล่านี้ในการแสดงออกได้อย่างเสรี เราผิดหวังอย่างยิ่งกับผลลัพท์ที่ออกมานี้"
ขณะที่นิวยอร์ก ไทม์ส รายงานวานนี้ทางออนไลน์โดยอ้างอิงการเปิดเผยของเจ้าหน้าที่สหรัฐอาวุโสรายหนึ่งว่า ทำเนียบขาวอยู่ในระหว่างพิจารณาว่าจะชี้แจงต่อสาธารณชนว่าเกาหลีเหนือแฮคระบบของโซนี พิคเจอร์สหรือไม่
ด้านสำนักข่าว CNN ระบุว่าเจ้าหน้าที่สืบสวนของสหรัฐมีความเห็นว่า การแฮคระบบโซนี่ พิคเจอร์สเป็นฝีมือของกลุ่มแฮคเกอร์ที่ทำงานให้กับเกาหลีเหนือ และการชี้แจงดังกล่าวอาจเกิดขึ้นในวันนี้เป็นอย่างเร็ว
ทางการสหรัฐเชื่อว่า การเจาะระบบดังกล่าวเป็นคำสั่งโดยตรงจากผู้นำเกาหลีเหนือเอง เนื่องจากรัฐบาลทหารเกาหลีเหนือควบคุมการใช้อินเทอร์เน็ตในประเทศอย่างเข้มงวด ขณะที่เกาหลีเหนือปฏิเสธว่าไม่มีส่วนเกี่ยวของการในแฮคระบบของโซนี พิคเจอร์สแต่อย่างใด พร้อมกับประณามว่าภาพยนตร์เรื่องนี้ถือเป็นการกระทำเพื่อยั่วยุ สำนักข่าวเกียวโดรายงาน