"ขนาดของภัยคุกคามได้เปลี่ยนไป มีการใช้กำลังทหารและอาวุธ จึงต้องมีการปรับเปลี่ยนยุทธศาสตร์การป้องกันประเทศของเราให้สอดคล้องกัน นี่ถือเป็นความท้าทายที่สำคัญ และฝรั่งเศสจะทำให้ได้" รมว.กลาโหมกล่าวกับเลอ ชูร์กนาล เดอ ดิมองช์ รายสัปดาห์
"ภายหลังเปิดปฏิบัติการ Sentinel (หลังการโจมตีนิตยสาร ชาร์ลี เอ็บโด ในเดือนม.ค.) ก็กลายเป็นความจำเป็นที่จะต้องจัดทำยุทธศาสตร์ใหม่ว่าด้วยการใช้กำลังติดอาวุธของประเทศ" เขากล่าวเสริม
ทั้งนี้ เมื่อคืนวันศุกร์ ประธานาธิบดีฟรองซัวส์ ออลลองด์ ได้ประกาศสถานการณ์ฉุกเฉิน หลังเกิดเหตุก่อการร้ายที่ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิต 129 คน และบาดเจ็บ 352 คน ซึ่ง 99 คนในจำนวนนี้มีอาการอยู่ในขั้นวิกฤต
หลังเกิดเหตุ ปธน.ออลลองด์ได้สั่งให้มีการเสริมกำลังเจ้าหน้าที่ทหาร 1,500 นายไปประจำการยังจุดต่างๆทั่วกรุงปารีส เพื่อรับรองความปลอดภัยของสถานที่สาธารณะ
รัฐบาล ซึ่งได้ส่งทหาร 10,000 ไปประจำการยังจุดต่างๆทั่วประเทศอยู่แล้วนับตั้งแต่เกิดเหตุโจมตีเมื่อเดือนม.ค. ยังคงระบบเฝ้าระวังการก่อการร้ายของฝรั่งเศส หรือที่รู้จักกันในชื่อ "Vigipirate" ที่ระดับสูงสุด
ในเหตุการณ์นองเลือดเมื่อวันศุกร์ กลุ่มชายติดอาวุธ 3 กลุ่มได้โจมตีเป้าหมาย ได้แก่ ร้านอาหาร ร้านกาแฟ สถานที่จัดแสดงคอนเสิร์ต และสนามกีฬา โดยใช้ยุทธิวิธีต่างๆร่วมกัน ทั้งการยิง การระเบิดฆ่าตัวตาย และการจับตัวประกัน
ชายติดอาวุธ 7 คนระเบิดตนเอง ซึ่งหนึ่งในนั้นพิสูจน์ทราบว่าเป็น อิสมาอิล โอมาร์ มุสตาฟา ชาวฝรั่งเศสที่มีความเชื่อมโยงกับกลุ่มหัวรุนแรงอิสลาม
นอกจากนี้มีการตรวจพบหนังสือเดินทางซีเรียและอียิปต์ใกล้กับร่างของมือระเบิดฆ่าตัวตาย 2 รายใกล้กับสนามกีฬาสตั๊ด เดอ ฟรองซ์ ซึ่งจากการเปิดเผยของเจ้าหน้าที่กรีซนั้น ผู้ถือหนังสือเดินทางซีเรียเป็นผู้อพยพข้ามพรมแดนผ่านทางเกาะเลรอสของกรีซเมื่อเดือนต.ค.
กลุ่มรัฐอิสลาม หรือไอเอส ได้ออกมาอ้างความรับผิดชอบต่อเหตุการณ์โจมตีในครั้งนี้ ซึ่งถือเป็นเหตุการณ์ที่มีผู้เสียชีวิตมากที่สุดบนแผ่นดินของฝรั่งเศสนับตั้งแต่สงครามโลกครั้งที่สอง และมีขึ้นหลังจากที่รัฐบาลฝรั่งเศสได้เปิดปฏิบัติการณ์ทางทหารต่อกลุ่มนักรบไอเอสในซีเรียและอิรัก โดยไอเอสได้ขู่ที่จะโจมตีผลประโยชน์ของฝรั่งเศสต่อไป
"ไอเอสเป็นกลุ่มก่อการร้ายอย่างแท้จริง และเราต้องสู้ไปทุกที่อย่างไม่ยอมอ่อนข้อ" นายเลอ ดริยอง กล่าว