เมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมา สตาร์วูด โฮเต็ลส์ แอนด์ รีสอร์ท เวิลด์ไวด์ อิงค์ ซึ่งเป็นเจ้าของเครือโรงแรมขนาดใหญ่ของโลก ได้กลายเป็นบริษัทเครือโรงแรมของสหรัฐแห่งแรกที่ได้ลงนามในข้อตกลงซื้อกิจการโรงแรมในคิวบานับตั้งแต่ปี 1959 ซึ่งนายพลฟิเดล คาสโตรขึ้นมาโค่นล้มรัฐบาลคิวบาสมัยนั้นที่สหรัฐให้การสนับสนุน
ทั้งนี้ สตาร์วูดจะเข้าบริหารจัดการโรงแรม 2 แห่งในกรุงฮาวานาของคิวบา
ปกติแล้ว การทำข้อตกลงดังกล่าวจะไม่สามารถทำได้ภายใต้มาตรการคว่ำบาตรทางเศรษฐกิจของสหรัฐที่มีต่อคิวบา แต่สตาร์วูดได้รับการอนุญาตเป็นพิเศษจากกระทรวงการคลังสหรัฐในสัปดาห์ก่อนหน้านี้
นายฮอร์เก้ จิอันนัตตาซิโอ หัวหน้าฝ่ายกิจการละตินอเมริกาของสตาร์วูด กล่าวว่า ข้อตกลงดังกล่าว ได้รวมถึงการลงทุนในวงเงินหลายล้านดอลลาร์เพื่อปรับปรุงให้โรงแรมในคิวบาได้มาตรฐานตามสตาร์วูด
ขณะเดียวกัน ในวันนี้ สตาร์วูดได้ตกลงยอมรับข้อเสนอจากแมริออท อินเตอร์เนชั่นแนล ซึ่งล่าสุดได้เสนอซื้อกิจการของสตาร์วูดในวงเงิน 1.36 หมื่นล้านดอลลาร์
ก่อนหน้านี้ ในเดือนพ.ย.ปีที่แล้ว แมริออทเสนอซื้อสตาร์วูดในวงเงิน 1.22 หมื่นล้านดอลลาร์ ก่อนที่จะถูกบริษัทอันบัง อินชัวแรนซ์ กรุ๊ป ซึ่งเป็นบริษัทประกันยักษ์ใหญ่ของจีน เสนอซื้อกิจการของสตาร์วูดในวงเงิน 1.316 หมื่นล้านดอลลาร์ ทำให้แมริออทกลับมาเสนอวงเงิน 1.36 หมื่นล้านดอลลาร์ในวันนี้
นายบรู๊ซ ดันแคน ประธานกรรมการของสตาร์วูด กล่าวว่า ทางบริษัทมีความยินดีที่แมริออทได้ตระหนักถึงมูลค่าของสตาร์วูดในการควบรวมกิจการครั้งนี้
ทั้งนี้ การที่แมริออทเข้าซื้อสตาร์วูด จะทำให้แมริออทขึ้นแท่นเป็นบริษัทในธุรกิจโรงแรมที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลก
ข้อตกลงดังกล่าว จะทำให้แมริออทมีจำนวนห้องพักเพิ่มขึ้นอีก 50% รวมเป็นกว่า 1.1 ล้านห้องทั่วโลก พร้อมกับถือครองอสังหาริมทรัพย์ราว 5,500 แห่ง มากกว่าฮิลตัน เวิลด์ไวด์ บริษัทในธุรกิจโรงแรมที่มีขนาดใหญ่เป็นอันดับ 2 ของโลก ซึ่งมีห้องพักราว 720,000 ห้อง พร้อมกับถือครองอสังหาริมทรัพย์ราว 4,400 แห่ง
บริษัทใหม่ที่เกิดขึ้นจากข้อตกลงระหว่างแมริออทและสตาร์วูด จะเชื่อมโยงโรงแรมในเครือของสตาร์วูด ซึ่งได้แก่ เชอราตัน, เวสติน และเซนต์เรจิส เข้ากับโรงแรมในเครือของแมริออท ซึ่งได้แก่ คอร์ทยาร์ด, ริทซ์-คาร์ลตัน และแฟร์ฟิลด์ อินน์