สมเด็จพระสันตะปาปาฟรานซิสตรัสในวันนี้ ซึ่งเป็นวันที่ 2 ของการเดินทางเยือนเมียนมาว่า เมียนมากำลังประสบปัญหาความขัดแย้ง และความมุ่งร้ายระหว่างชุมชนต่างๆ ซึ่งเกิดขึ้นมาอย่างยาวนาน และสร้างความแตกแยกในประเทศ
"กระบวนการในการสร้างสันติภาพ และความปรองดองแห่งชาติจะมีความคืบหน้าได้ก็ต่อเมื่อรัฐบาลดำเนินการตามกระบวนการยุติธรรม และเคารพต่อสิทธิมนุษยชน ขณะที่ความแตกต่างกันทางศาสนา ไม่ควรเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดความแตกแยก และไม่ไว้วางใจซึ่งกันและกัน แต่ควรมีการให้อภัย ผ่อนปรน และเป็นเอกภาพ" สมเด็จพระสันตะปาปาฟรานซิสตรัส
อย่างไรก็ดี สมเด็จพระสันตะปาปาฟรานซิสไม่ได้ใช้คำว่า "โรฮิงญา" ในคำตรัสของพระองค์ เนื่องจากถือเป็นเรื่องละเอียดอ่อน ขณะที่รัฐบาลเมียนมาไม่ให้การยอมรับชาวโรฮิงญาว่าเป็นพลเมืองในประเทศ และปฏิเสธที่จะเรียกชาวมุสลิมในรัฐยะไข่ว่าเป็นชาวโรฮิงญา
ทางด้านนางซูจีกล่าวว่า ชุมชนต่างๆในรัฐยะไข่ประสบปัญหาในการขาดความไว้วางใจ และความเข้าใจซึ่งกันและกัน
อย่างไรก็ดี นางซูจีไม่ได้ระบุถึงชาวโรฮิงญาจำนวนกว่า 6 แสนคนที่ได้อพยพลี้ภัยไปยังบังกลาเทศ นับตั้งแต่ที่ถูกทหารเมียนมาทำการกวาดล้างในรัฐยะไข่
"ในบรรดาสิ่งท้าทายต่างๆที่รัฐบาลของเราเผชิญอยู่ สถานการณ์ในรัฐยะไข่ได้ถูกประชาคมโลกจับตามากที่สุด โดยขณะที่เราเข้าแก้ไขปัญหาการเมือง เศรษฐกิจ และสังคมที่เรื้อรังมานาน ซึ่งได้บั่นทอนความไว้วางใจ และความเข้าใจซึ่งกันและกันระหว่างชุมชนต่างๆในรัฐยะไข่ การสนับสนุนของคนของเรา และเพื่อนของเราถือเป็นสิ่งที่หาค่ามิได้" นางซูจีกล่าวในสุนทรพจน์ต้อนรับสมเด็จพระสันตะปาปาฟรานซิสที่กรุงเนปิดอว์ในวันนี้
ที่ผ่านมา ทั่วโลกได้พากันประณามนางซูจีที่ได้เพิกเฉยต่อชะตากรรมของชาวโรฮิงญา โดยไม่ได้ทักท้วงต่อทางกองทัพที่ได้ใช้ปฏิบัติการทางทหารกวาดล้างชาวโรฮิงญา