นายฌอง-คล็อด ยุงเกอร์ ประธานคณะกรรมาธิการยุโรป (EC) ซึ่งเป็นองค์กรบริหารของ EU กล่าวว่า EU ไม่มีทางเลือก นอกจากที่จะต้องตอบโต้ในลักษณะเดียวกัน หากสหรัฐเรียกเก็บภาษีนำเข้าเหล็กและอลูมิเนียมจากยุโรป
"หากสหรัฐเรียกเก็บภาษีนำเข้าเหล็กและอลูมิเนียม เราก็จะตอบโต้เหมือนกัน โดยเราจะต้องแสดงให้เห็นว่าเราสามารถใช้มาตราการนี้เหมือนกัน ซึ่งเรื่องนี้จะไม่เป็นการดำเนินการแต่เพียงฝ่ายเดียวจากสหรัฐ" เขากล่าว
ส่วนนายโรเบอร์โต อาเซเวโด ผู้อำนวยการองค์การการค้าโลก (WTO) ออกแถลงการณ์แสดงความกังวลเช่นกัน ต่อการที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ประกาศว่า สหรัฐจะเรียกเก็บภาษีนำเข้าเหล็กและอลูมิเนียมในสัปดาห์หน้า
"องค์การการค้าโลกมีความกังวลต่อการที่สหรัฐประกาศว่ามีแผนเรียกเก็บภาษีนำเข้าเหล็กและอลูมิเนียม ขณะที่มีแนวโน้มที่จะเกิดการตอบโต้จากประเทศคู่ค้า ซึ่งเห็นได้จากปฏิกริยาในช่วงแรกจากประเทศอื่นๆ โดยการทำสงครามการค้าจะไม่เกิดประโยชน์ต่อฝ่ายหนึ่งฝ่ายใด และองค์การการค้าโลกจะจับตาสถานการณ์อย่างใกล้ชิด" แถลงการณ์ระบุ
ปธน.ทรัมป์ทวีตข้อความในวันนี้ ระบุว่า การทำสงครามการค้าเป็นเรื่องที่ดีสำหรับสหรัฐ และเป็นเรื่องง่ายที่จะชนะ
"เมื่อประเทศหนึ่ง (สหรัฐ) ต้องสูญเสียเงินหลายพันล้านดอลลาร์ในการทำการค้ากับแทบทุกประเทศ การทำสงครามการค้าก็ถือว่าเป็นเรื่องที่ดี และชนะได้ง่าย ยกตัวอย่างเช่น เมื่อเราต้องสูญเสียเงิน 1 แสนล้านดอลลาร์กับบางประเทศ เราก็อย่าได้ทำการค้าต่อไปอีก เราก็จะชนะอย่างยิ่งใหญ่ นี่เป็นเรื่องง่ายๆ" ข้อความในทวิตเตอร์ระบุ
ปธน.ทรัมป์ทวีตข้อความดังกล่าว หลังจากที่เมื่อวานนี้ เขาได้ประกาศว่า สหรัฐจะเรียกเก็บภาษีนำเข้าเหล็กในอัตรา 25% และอลูมิเนียม 10% ในสัปดาห์หน้า โดยมาตรการดังกล่าวมีเป้าหมายที่จะปกป้องภาคอุตสาหกรรมของสหรัฐ
อย่างไรก็ตาม ปธน.ทรัมป์ไม่ได้เปิดเผยรายชื่อประเทศที่จะถูกเรียกเก็บภาษีดังกล่าว และระยะเวลาที่สหรัฐจะดำเนินการเก็บภาษี
ทางด้านนักวิเคราะห์เตือนว่า การเรียกเก็บภาษีนำเข้าแทนที่จะช่วยปกป้องการจ้างงานในสหรัฐ จะกลับเป็นปัจจัยทำลายการจ้างงานในประเทศ เนื่องจากการเก็บภาษีจะทำให้ราคาสินค้าเพิ่มขึ้น และจะส่งผลกระทบต่อผู้ใช้เหล็กและอลูมิเนียม ซึ่งก็คืออุตสาหกรรมรถยนต์, เครื่องบิน และน้ำมันของสหรัฐ