นายมาร์ค ซัคเคอร์เบิร์ก ซีอีโอบริษัทเฟซบุ๊กเปิดเผยว่า แม้การดำเนินการตรวจสอบแอปพลิเคชั่นจากภายนอกจะช่วยให้เฟซบุ๊กสามารถระบุตัวตนและยับยั้งการกระทำของผู้ไม่หวังดี แต่ก็ไม่สามารถล่วงรู้ได้ว่าข้อมูลทั้งหมดนั้นไปอยู่ที่ไหนและถูกนำไปใช้อย่างไรบ้าง
นายซัคเคอร์เบิร์กกล่าวว่า เฟซบุ๊กจะตรวจสอบแอปพลิเคชั่นที่ล่วงรู้ข้อมูลส่วนตัวของผู้ใช้งานเฟซบุ๊กซึ่งมีอยู่นับหมื่นๆแอป โดยจะส่งผู้ตรวจสอบออกไปวิเคราะห์เซิฟเวอร์ของนักพัฒนาแอปที่ต้องสงสัยว่าได้ล้วงเอาข้อมูลส่วนตัวของผู้ใช้งานเฟซบุ๊กไปเป็นจำนวนมากและให้พวกเขาชี้แจงกระบวนการดำเนินธุรกิจของตนเอง
อย่างไรก็ดี เฟซบุ๊กคาดว่าจะมีค่าใช้จ่ายจากการดำเนินการดังกล่าวเป็นมูลค่าหลายล้านดอลลาร์ และยังไม่ทราบแน่ชัดว่าจะต้องใช้เวลานานเท่าใดถึงจะเสร็จสิ้น
ซีอีโอเฟซบุ๊กระบุว่า การดำเนินการของเฟซบุ๊กในครั้งนี้ไม่ใช่การแก้ปัญหาเฉพาะหน้า แต่เป็นการรักษาความปลอดภัยให้กับข้อมูลผู้ใช้งาน และมันก็ไม่ใช่กระบวนการที่จะทำให้เราล่วงรู้ได้ทุกสิ่ง เพียงแต่จะช่วยยับยั้งนักพัฒนาที่กำลังจะทำในสิ่งที่ไม่ดีและทำให้เฟซบุ๊กสามารถติดตามการนำข้อมูลไปใช้ในทางที่ผิดได้
ความเคลื่อนไหวครั้งนี้มีขึ้นหลังจากที่สื่อรายงานก่อนหน้านี้ว่า ผู้ใช้บริการเฟซบุ๊กจำนวน 50 ล้านคนถูกล้วงข้อมูลโปรไฟล์หลังโหลดแอพพลิเคชั่นที่ชื่อว่า "thisisyourdigitallife" โดยข้อมูลดังกล่าวได้ถูกส่งต่อไปยังแคมบริดจ์ อนาลิติกา ซึ่งเป็นบริษัทวิเคราะห์การเมืองที่ได้ลงโฆษณาในเฟซบุ๊กเกี่ยวกับนายโดนัลด์ ทรัมป์ในช่วงการรณรงค์หาเสียงเลือกตั้งประธานาธิบดีในปี 2559
ต่อมานายซัคเคอร์เบิร์กได้ออกมายอมรับความผิดพลาดและกล่าวคำขอโทษในกรณีที่มีการรั่วไหลของข้อมูลผู้ใช้บริการของเฟซบุ๊กจำนวน 50 ล้านคน พร้อมกับให้คำมั่นว่าจะดำเนินการเพื่อป้องกันไม่ให้เหตุการณ์เช่นนี้เกิดขึ้นอีก และต่อมาเฟซบุ๊กได้จ้างบริษัท สตรอซ ฟรีดเบิร์ก ซึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญในการพิสูจน์พยานหลักฐานด้านดิจิทัลเข้ามาสืบสวนกรณีการล้วงข้อมูลโปรไฟล์ครั้งนี้