มูดี้ส์ อินเวสเตอร์ เซอร์วิส สถาบันจัดอันดับความน่าเชื่อถือระหว่างประเทศ ระบุในวันนี้ว่า การที่รัฐบาลมาเลเซียเตรียมยกเลิกการจัดเก็บอัตราภาษีสินค้าและบริการ (GST) จะเป็นปัจจัยลบต่ออันดับความน่าเชื่อถือของประเทศ ซึ่งขณะนี้อยู่ที่ระดับ A3 โดยแนวโน้มมีเสถียรภาพ
มูดี้ส์เตือนว่า การยกเลิกภาษีดังกล่าวจะทำให้รัฐบาลต้องพึ่งพารายได้จากน้ำมัน และทำให้ฐานภาษีหดแคบลง ซึ่งจะกระทบต่อสถานะการคลังของประเทศ
ทั้งนี้ กระทรวงการคลังมาเลเซียแถลงก่อนหน้านี้ว่า รัฐบาลจะปรับลดอัตราภาษีสินค้าและบริการ (GST) จากระดับ 6% สู่ระดับ 0% โดยมีผลบังคับใช้ในวันที่ 1 มิ.ย.
การดำเนินการดังกล่าวเป็นไปตามคำสัญญาขณะรณรงค์หาเสียงเลือกตั้งของนายมหาธีร์ โมฮัมหมัด นายกรัฐมนตรีมาเลเซีย
รัฐบาลของนายนาจิบ ราซัค อดีตนายกรัฐมนตรี ได้ประกาศเรียกเก็บภาษีดังกล่าวเมื่อวันที่ 1 เม.ย.2558 ซึ่งสร้างความไม่พอใจต่อชาวมาเลเซีย
หลังจากวันที่ 1 มิ.ย. รัฐบาลจะนำมาตรการเรียกเก็บภาษียอดขายและบริการ (SST) มาใช้แทนการจัดเก็บภาษี GST แต่การใช้ภาษี SST ก็ได้สร้างความกังวลต่อนักเศรษฐศาสตร์ว่ารัฐบาลจะขาดรายได้จากการจัดเก็บภาษี แต่นางเซติ อัคห์ตาร์ อาซิส อดีตผู้ว่าการธนาคารกลางมาเลเซีย กล่าวว่า รัฐบาลจะสามารถมีรายได้ตามเป้าโดยการจัดอันดับความสำคัญสำหรับโครงการของรัฐบาล, เพิ่มประสิทธิภาพในภาคสาธารณะ, หลีกเลี่ยงรายจ่ายที่ไม่จำเป็น รวมทั้งการหาแหล่งรายได้ใหม่
ทางด้านบริษัทวิจัย บีเอ็มไอ รีเสิร์ช ได้ปรับเพิ่มประมาณการยอดขาดดุลการคลังของรัฐบาลมาเลเซียในปี 2561 เป็น 4% ของตัวเลขผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) จากเดิมที่เคยคาดการณ์ไว้ที่ 2.8% เพื่อสะท้อนผลกระทบที่เกิดขึ้นจากการที่รัฐบาลประกาศลดภาษี GST เหลือ 0%
นอกจากนี้ บีเอ็มไอ รีเสิร์ช ยังระบุในรายงานว่า บริษัทได้ปรับเพิ่มคาดการณ์การขาดดุลโดยเฉลี่ยของของมาเลเซียในช่วงปี 2561-2570 จากเดิมที่ 2.8% เป็น 3.1% ของตัวเลข GDP
บีเอ็มไอกล่าวว่า "นี่เป็นการสะท้อนถึงผลกระทบเชิงลบจะที่เกิดขึ้นกับรายได้ของรัฐบาลจากการตัดสินใจปรับลดภาษี GST ตั้งแต่วันที่ 1 มิ.ย.นี้"