กลุ่มอุตสาหกรรมผลิตเนื้อสุกรของสหรัฐแสดงความกังวลต่อการเรียกเก็บภาษีของจีนและเม็กซิโก ซึ่งจะทำให้ผู้ผลิตเนื้อสุกรของสหรัฐประสบภาวะขาดทุนจนอาจจะต้องโยกย้ายการลงทุนไปต่างประเทศ
ทั้งนี้ เม็กซิโกได้เรียกเก็บภาษี 10% ต่อเนื้อสุกรแช่แข็งและแช่เย็นที่นำเข้าจากสหรัฐ โดยมีผลบังคับใช้เมื่อวันที่ 5 มิ.ย.ที่ผ่านมา และอัตราภาษีดังกล่าวจะเพิ่มขึ้นเป็น 20% ในวันพรุ่งนี้ เพื่อตอบโต้ต่อการที่รัฐบาลสหรัฐเรียกเก็บภาษีเหล็กและอลูมิเนียมต่อเม็กซิโก
ทางด้านจีนจะเรียกเก็บภาษี 25% ต่อเนื้อสุกรของสหรัฐในวันศุกร์นี้ ในการเก็บภาษีสินค้าสหรัฐวงเงิน 3.4 หมื่นล้านดอลลาร์ เพื่อตอบโต้ต่อการที่สหรัฐเรียกเก็บภาษีสินค้าจีน โดยอ้างว่าจีนได้ละเมิดทรัพย์สินทางปัญญาของสหรัฐ
ผู้บริหารของกลุ่มอุตสาหกรรมผลิตเนื้อสุกรของสหรัฐระบุว่า การทำสงครามการค้าได้สร้างความเสี่ยงและความวิตกกังวล เนื่องจาก 1 ใน 4 ของเนื้อสุกรที่ผลิตในสหรัฐ มีการจำหน่ายในต่างประเทศ และจีนเป็นตลาดบริโภคเนื้อสุกรที่ใหญ่ที่สุดในโลก
"เราได้ยุติการลงทุนทั้งหมด ไม่ใช่เป็นเพราะเรากำลังขาดทุนเท่านั้น แต่เป็นเพราะเราไม่รู้ว่าการเลี้ยงสุกรในสหรัฐจะเป็นการตัดสินใจที่ถูกต้องหรือไม่ ถ้าเราไม่ได้เป็นประเทศที่ส่งออกเนื้อสุกร" นายเคน แมสคอฟฟ์ ประธานบริษัทแมสคอฟฟ์ แฟมิลี่ ฟู้ดส์ และเป็นผู้ผลิตเนื้อสุกรของครอบครัวที่ใหญ่ที่สุดของสหรัฐ กล่าว
"อุตสาหกรรมเนื้อสุกรได้ถูกขอร้องให้เป็นผู้รักชาติที่ดี ซึ่งเราก็ได้ทำมาโดยตลอด แต่ผมไม่ต้องการเป็นผู้รักชาติที่ตายตอนสงครามจบ ถ้าเราต้องปิดกิจการลง ผมก็คงไม่สามารถมองหน้าลูกของเรา และอีก 550 ครอบครัวที่ทำฟาร์ม รวมทั้งพนักงาน 1,400 คน" นายแมสคอฟฟ์กล่าว