นายหวัง อี้ รมว.ต่างประเทศจีน และนายไมค์ ปอมเปโอ รมว.ต่างประเทศสหรัฐ ได้พบปะกันนอกรอบการประชุมสมาคมประชาชาติเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (อาเซียน) ที่สิงคโปร์ในวันนี้ โดยทั้งสองต่างแสดงความเห็นว่า การเจรจามีความสำคัญในการแก้ไขความขัดแย้งระหว่างกัน
"ความร่วมมือกันถือเป็นทางเลือกเดียวสำหรับจีนและสหรัฐ และเป็นความคาดหวังของนานาชาติ ขณะที่การเผชิญหน้ากันรังแต่จะทำให้ทั้งสองฝ่ายพ่ายแพ้ และกระทบต่อสันติภาพ เสถียรภาพ และการพัฒนาในระดับโลก" นายหวังกล่าว
นายหวังยังกล่าวว่า ทั้งสองฝ่ายควรแก้ไขความขัดแย้งผ่านทางการปรึกษาหารือ และการเจรจาบนพื้นฐานของการเคารพซึ่งกันและกัน และมีสถานะเท่าเทียมกัน เพื่อพัฒนาความสัมพันธ์ระหว่างจีนและสหรัฐ
ทางด้านนายปอมเปโอกล่าวว่า ความสัมพันธ์ระหว่างสหรัฐและจีนมีความสำคัญอย่างมาก โดยสหรัฐคาดหวังว่าทั้งสหรัฐและจีนจะประสบความสำเร็จ โดยสหรัฐไม่มีความประสงค์ที่จะขัดขวางการพัฒนาของจีน
นอกจากนี้ นายปอมเปโอยังเรียกร้องให้ทั้งสองฝ่ายร่วมมือกันในประเด็นต่างๆ ซึ่งรวมถึงการปลดอาวุธนิวเคลียร์ในคาบสมุทรเกาหลี
การแสดงจุดยืนของรัฐมนตรีต่างประเทศของจีนและสหรัฐดังกล่าวมีขึ้น ท่ามกลางความตึงเครียดทางการค้า ขณะที่ทั้งสองฝ่ายตอบโต้ด้วยการใช้มาตรการเรียกเก็บภาษีระหว่างกัน
กระทรวงพาณิชย์ของจีนประกาศในวันนี้ว่า จีนจะเรียกเก็บภาษีจากสินค้านำเข้าจากสหรัฐวงเงิน 6 หมื่นล้านดอลลาร์ โดยคิดอัตราภาษีในช่วง 5-25%
ทั้งนี้ จีนจะดำเนินการเรียกเก็บภาษีดังกล่าว หากสหรัฐเดินหน้าจัดเก็บภาษีนำเข้าต่อสินค้าจีน
การประกาศดังกล่าวของจีนมีขึ้น หลังจากที่กระทรวงการต่างประเทศจีนออกแถลงการณ์เมื่อวานนี้ ขู่ตอบโต้สหรัฐ หากสหรัฐเรียกเก็บภาษี 25% ต่อสินค้านำเข้าจากจีนวงเงิน 2 แสนล้านดอลลาร์
"จีนเตรียมพร้อม และจะตอบโต้เพื่อรักษาเกียรติภูมิของชาติ, ผลประโยชน์ของประชาชน และปกป้องการค้าเสรี, การซื้อขายแบบพหุภาคี รวมทั้งผลประโยชน์ร่วมกันของทุกประเทศ ซึ่งที่ผ่านมา จีนได้เสนอแนะให้มีการแก้ไขความขัดแย้งโดยผ่านทางการเจรจาหารือ แต่อยู่บนเงื่อนไขที่ว่าเราต้องปฏิบัติต่อกันอย่างเท่าเทียมกัน และให้เกียรติต่อคำพูดของเรา" แถลงการณ์ระบุ
ทั้งนี้ ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ได้สั่งการให้นายโรเบิร์ต ไลท์ไฮเซอร์ ผู้แทนการค้าสหรัฐ (USTR) พิจารณาปรับขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจากจีนสู่ระดับ 25% จากเดิมในอัตรา 10% คิดเป็นวงเงินรวม 2 แสนล้านดอลลาร์ โดยครอบคลุมสินค้าจำนวน 6,031 รายการ ตั้งแต่สินค้าเพื่อผู้บริโภคไปจนถึงสินค้าด้านการเกษตร หลังจากสหรัฐและจีนไม่สามารถบรรลุข้อตกลงในการเจรจาเพื่อยุติข้อพิพาททางการค้า โดยมาตรการเรียกเก็บภาษีนำเข้าเพิ่มเติมในครั้งนี้จะมีผลบังคับใช้ในเดือนก.ย.