กรมศุลกากรและการป้องกันพรมแดนสหรัฐอมเริกา (CBP) เปิดเผยว่า จำนวนครอบครัวผู้อพยพที่ถูกจับกุมบริเวณชายแดนสหรัฐและเม็กซิโกได้พุ่งขึ้นทำสถิติสูงสุดในช่วงเดือนส.ค. แตะที่ 12,774 ครอบครัว เพิ่มขึ้นจากเดือนก.ค.ถึง 40%
ส่วนผู้อพยพรายบุคคลที่ถูกจับกุมทั้งหมดในเดือนส.ค.อยู่ที่ 37,544 คน เพิ่มขึ้นจากเดือนก.ค.ซึ่งมีผู้อพยพถูกจับกุมทั้งสิ้น 31,299 คน และเดือนมิ.ย.ที่มีผู้ถูกจับกุม 34,091 คน
ขณะที่หนังสือพิมพ์ เดอะ ฮิลล์ นิวส์ รายงานว่า ยังคงมีบุตรหลานผู้อพยพถูกแยกออกจากครอบครัวที่ถูกจับกุมอยู่ในสหรัฐมากกว่า 500 คนในเดือนส.ค. แม้ว่าศาลสหรัฐจะกำหนดเส้นตายให้ดำเนินการส่งตัวบุตรหลานผู้อพยพกลับคืนสู่ครอบครัวของพวกเขาที่บริเวณชายแดนของประเทศภายในวันที่ 26 ก.ค.ก็ตาม
กระทรวงความมั่นคงแห่งมาตุภูมิของสหรัฐ (DHS) กล่าวในแถลงการณ์ว่า จำนวนผู้อพยพที่ถูกจับกุมซึ่งพุ่งขึ้นนั้น แสดงให้เห็นถึงความล้มเหลวของระบบตรวจคนเข้าเมือง
DHS กล่าวว่า "ในไตรมาสที่ 3 ของปีงบประมาณ 2561 มีครอบครัวผู้อพยพเพียง 1.4% เท่านั้นที่ถูกส่งคืนประเทศบ้านเกิดที่ไม่ได้อยู่ติดกับสหรัฐอย่าง เอลซัลวาดอร์, กัวเตมาลา และฮอนดูรัส"
สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า เมื่อเดือนมิ.ย.ที่ผ่านมา ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ของสหรัฐได้ลงนามในคำสั่งประธานาธิบดีเพื่อยุติกระแสคัดค้านที่มีต่อนโยบาย"ความอดทนเป็นศูนย์" (zero tolerance) ซึ่งส่งผลให้บรรดาลูกๆของอพยพกว่า 2,500 คนต้องถูกแยกตัวออกจากพ่อแม่ที่ถูกจับกุมบริเวณชายแดนทางภาคใต้ของสหรัฐ