ผลสำรวจล่าสุดของสถานีโทรทัศน์ ABC และหนังสือพิมพ์วอชิงตัน โพสต์ ระบุว่า ประชาชนชาวอเมริกันมากกว่าครึ่งมองว่า ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ และสมาชิกพรรครีพับลิกันในสภาคองเกรส เป็นสาเหตุที่ทำให้หน่วยงานบางส่วนของรัฐบาลสหรัฐต้องปิดการดำเนินงานเนื่องจากขาดงบประมาณ หรือชัตดาวน์
อย่างไรก็ตาม ผลสำรวจดังกล่าวระบุว่า ชาวอเมริกัน 42% ยังคงให้การสนับสนุนการก่อสร้างกำแพงกั้นชายแดนสหรัฐ-เม็กซิโก ซึ่งตัวเลขดังกล่าวทำสถิติสูงสุดนับตั้งแต่ปธน.ทรัมป์ได้เสนอให้มีการสร้างกำแพงในช่วงการประกาศหาเสียงเลือกตั้งประธานาธิบดีในเดือนมิ.ย. 2558 ที่ผ่านมา
ทั้งนี้ ผลสำรวจซึ่งจัดทำขึ้นทั่วประเทศระบุด้วยว่า ชาวอเมริกัน 53% มองว่า ปธน.ทรัมป์และสมาชิกพรรครีพับลิกันในสภาคองเกรสเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดภาวะชัตดาวน์ ขณะที่ชาวอเมริกัน 29% มองว่า พรรคเดโมแครตในสภาคองเกรสเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดภาวะชัตดาวน์ โดยผู้ที่ไม่เห็นด้วยกับการจัดการในเรื่องดังกล่าวของปธน.ทรัมป์และพรรครีพับลิกัน คิดเป็นสัดส่วนเกือบ 2 ต่อ 1 นอกจากนี้ ผลสำรวจยังระบุว่า ชาวอเมริกัน 13% มองว่าเป็นความผิดของทั้งสองฝ่าย
ผลสำรวจระบุว่า ชาวอเมริกัน 1 ใน 4 สนับสนุนคำกล่าวอ้างของปธน.ทรัมป์ที่ว่า พื้นที่ชายแดนทางตอนใต้กำลังตกอยู่ในภาวะวิกฤต ขณะที่ 2 ใน 3 ของชาวอเมริกันที่ได้รับการสำรวจ ได้คัดค้านการประกาศภาวะฉุกเฉินซึ่งจะทำให้ปธน.ทรัมป์สามารถสร้างกำแพงโดยไม่ต้องรอการอนุมัติจากสภาคองเกรส
นอกจากนี้ ผลสำรวจยังระบุว่า 18% ของชาวอเมริกันที่ได้รับการสำรวจครั้งนี้ ได้รับผลกระทบส่วนตัวจากสถานการณ์ชัตดาวน์ ขณะที่ 79% ระบุว่า ภาวะชัตดาวน์อาจก่อให้เกิดวิกฤติหรือปัญหาที่รุนแรง หากยังคงเกิดขึ้นต่อเนื่องในอีกหลายเดือน
สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า ผลสำรวจข้างต้นได้จัดทำขึ้นในระหว่างวันที่ 8-11 ม.ค. โดยมีการสุ่มเลือกสัมภาษณ์ผู้ใหญ่จำนวน 788 ราย ขณะที่อัตราส่วนความคาดเคลื่อนอยู่ที่ประมาณ 4.5 จุด