นายเหริน เจิ้งเฟย ผู้ก่อตั้งและประธานบริษัท หัวเว่ย เทคโนโลยี่ ซึ่งเป็นผู้ผลิตอุปกรณ์เครือข่ายรายใหญ่ของจีน เปิดเผยในวันนี้ว่า หัวเว่ยเป็นบริษัทด้านการค้า และการใช้ผลิตภัณฑ์ของบริษัทก็เป็นทางเลือกสำหรับลูกค้าโดยขึ้นอยู่กับความชอบ และบริษัทไม่ควรถูกนำไปเชื่อมโยงกับการเมือง
สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า นายเหรินแสดงความเห็นดังกล่าวหลังจากสำนักงานอุตสาหกรรมและความมั่นคง (BIS) ของกระทรวงพาณิชย์สหรัฐ ได้รวมหัวเว่ยและบริษัทในเครือไว้ใน "Entity List" ซึ่งเป็นบัญชีรายชื่อของบริษัทด้านสื่อสารโทรคมนาคมที่ถูกสั่งห้ามไม่ให้บริษัทของสหรัฐเข้าซื้อหรือโอนถ่ายอุปกรณ์ต่างๆ โดยไม่ได้รับอนุญาตจากรัฐบาลสหรัฐ ซึ่งการสั่งแบนหัวเว่ยดังกล่าวทำให้มีการคัดค้านจากตลาดทั่วโลก
นายเหรินเปิดเผยกับผู้สื่อข่าวว่า หัวเว่ยยังคงมีขีดความสามารถด้านการผลิตจำนวนมากสำหรับส่วนประกอบที่สำคัญโดยเฉพาะ ซึ่งรวมถึง ชิพ และการสั่งห้ามของสหรัฐ จะไม่ส่งผลให้การขยายตัวของธุรกิจติดลบแต่อย่างใด
หัวเว่ยคาดว่า แม้ว่าการขยายตัวทางธุรกิจมีแนวโน้มชะลอลง แต่ก็ยังเป็นไปในทางบวกในปีนี้
นายเหรินระบุว่า หัวเว่ยมีการขยายตัวของรายได้เมื่อเทียบเป็นรายปี 39% ในไตรมาสแรกของปีนี้ โดยการขยายตัวได้ชะลอลงเล็กน้อยในไตรมาส 2 แต่การชะลอตัวจะไม่ส่งผลกระทบต่อบริษัท
เขากล่าวว่า "หัวเว่ยได้เตรียมพร้อมสำหรับสถานการณ์เลวร้ายที่สุดแล้วนับตั้งแต่ก่อนวันตรุษจีน"
อย่างไรก็ตาม นายเหรินส่งสัญญาณว่า หัวเว่ยจะไม่ปฏิเสธห่วงโซ่อุปทานของสหรัฐ โดยระบุถึงการที่หัวเว่ยประกาศซื้อชิพมูลค่า 50 ล้านดอลลาร์จากบริษัทควอลคอมม์ในปี 2561
นายเหรินกล่าวว่า "ตราบใดที่รัฐบาลสหรัฐยังอนุญาตให้บริษัทสหรัฐส่งออกอุปกรณ์ หัวเว่ยก็จะยังคงซื้อต่อไป ขณะที่จะเดินหน้าวิจัยและพัฒนาด้วยตัวเองด้วย"
นายเหรินระบุว่า เขารู้สึกซาบซึ้งต่อการสนับสนุนของซัพพลายเออร์จำนวนมากของสหรัฐในช่วงหลายปีที่ผ่านมา และพวกเขาก็กำลังล็อบบี้เพื่อลดข้อจำกัดของรัฐบาลสหรัฐที่มีต่อหัวเว่ย
เขากล่าวว่า หัวเว่ยกำลังเจรจากับบริษัทหลายแห่ง อาทิ กูเกิล เพื่อหาทางออกที่เป็นไปได้ในการแก้ไขปัญหาดังกล่าว