ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์แสดงความมั่นใจในวันนี้ เกี่ยวกับการบรรลุข้อตกลงทางการค้ากับประธานาธิบดีสี จิ้นผิงในการประชุม G20 ในช่วงสุดสัปดาห์นี้
"มีความเป็นไปได้อย่างแน่นอนที่เราจะได้ข้อตกลงที่ดี" ปธน.ทรัมป์กล่าว
อย่างไรก็ดี ปธน.ทรัมป์ระบุว่า เขามีความสุขกับสถานการณ์ที่เป็นอยู่ในขณะนี้ และเขาพร้อมที่จะเรียกเก็บภาษีต่อสินค้านำเข้าทั้งหมดจากจีน หากไม่มีการบรรลุข้อตกลง
ทั้งนี้ ในการให้สัมภาษณ์ต่อสำนักข่าวฟ็อกซ์ ปธน.ทรัมป์กล่าวว่า "ผมมีความสุขมากต่อสิ่งที่กำลังเป็นอยู่ เรากำลังได้เงินภาษีก้อนโต ซึ่งไม่เป็นเรื่องที่ดีสำหรับจีน แต่เป็นเรื่องดีสำหรับเรา"
"ผมมีมุมมองเกี่ยวกับการเก็บภาษีนำเข้าสินค้าแตกต่างจากคนอื่น โดยนับตั้งแต่ที่สหรัฐเรียกเก็บภาษี 25% ต่อสินค้านำเข้าจากจีนมูลค่า 2.5 แสนล้านดอลลาร์ ตลาดของเราก็มีความคึกคัก ขณะที่พวกเขาต้องการที่จะทำข้อตกลงมากกว่าพวกเรา" ปธน.ทรัมป์กล่าว
หากทั้งสองฝ่ายยังคงไม่สามารถบรรลุข้อตกลง ปธน.ทรัมป์กล่าวว่า เขาพร้อมที่จะเรียกเก็บภาษีต่อสินค้านำเข้าจากจีนที่เหลืออีก 3.5 แสนล้านดอลลาร์ แต่ปธน.ทรัมป์กล่าวว่า เขาจะเรียกเก็บภาษีเพียง 10% แทนที่จะเป็น 25%
ก่อนหน้านี้ นายสตีเวน มนูชิน รมว.คลังสหรัฐ กล่าวว่า สหรัฐและจีนใกล้บรรลุข้อตกลงการค้าแล้ว
"เราทำข้อตกลงได้ราว 90% แล้ว และผมคิดว่าเรามีทางที่จะบรรลุข้อตกลงโดยสมบูรณ์" นายมนูชินกล่าวต่อสำนักข่าว CNBC
นายมนูชินกล่าวว่า เขามีความเชื่อมั่นว่า ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ และประธานาธิบดีสี จิ้นผิงจะสามารถสร้างความคืบหน้าต่อการเจรจาการค้าในการประชุม G20 ที่นครโอซากา ประเทศญี่ปุ่น ในช่วงสุดสัปดาห์นี้
"พวกเขาต้องการกลับสู่โต๊ะเจรจา และดำเนินการเจรจาต่อไป เพราะจะเป็นผลดีต่อเศรษฐกิจของพวกเขา และเศรษฐกิจของสหรัฐ หากมีการค้าที่สมดุล และเรารักษาความสัมพันธ์นี้ต่อไป" นายมนูชินกล่าว
อย่างไรก็ดี นายมนูชินไม่ได้เปิดเผยปัญหาติดขัดอีก 10% ในการเจรจาการค้าแต่อย่างใด
การเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐและจีนประสบความล้มเหลวในเดือนที่แล้ว โดยที่ประชุมไม่สามารถบรรลุข้อตกลงการค้า ขณะที่สหรัฐได้เพิ่มการเรียกเก็บภาษีต่อสินค้านำเข้าจากจีนวงเงิน 2 แสนล้านดอลลาร์ สู่ระดับ 25% จากเดิมที่ระดับ 10% ส่งผลให้จีนทำการตอบโต้ ด้วยการเพิ่มการเรียกเก็บภาษีต่อสินค้านำเข้าจากสหรัฐวงเงิน 6 หมื่นล้านดอลลาร์ สู่ระดับ 25% จากเดิมที่ระดับ 10%
นอกจากนี้ สหรัฐได้ขึ้นบัญชีดำบริษัทหัวเว่ย เทคโนโลยี่ ทำให้บริษัทไม่สามารถซื้อสินค้าจากสหรัฐ และสหรัฐยังได้เพิ่มรายชื่อบริษัทจีนอีก 5 แห่งเข้าไปในบัญชีดำดังกล่าวในสัปดาห์ที่แล้ว