สหรัฐวางแผนทดสอบวัคซีนต้านไวรัสโควิด-19 ครั้งใหญ่กับอาสาสมัครมากกว่า 100,000 คน โดยจะทดสอบวัคซีนของบริษัทอย่างน้อย 6 แห่ง เพื่อให้ได้วัคซีนที่มีความปลอดภัย และมีประสิทธิภาพมากที่สุดภายในสิ้นปี 2563
คณะนักวิทยาศาสตร์ที่เข้าร่วมโครงการดังกล่าวเปิดเผยกับสำนักข่าวรอยเตอร์ว่า โครงการทดลองวัคซีนครั้งใหญ่นี้เป็นการย่นระยะเวลาในการพัฒนาและทดสอบวัคซีนจากปกติที่ใช้เวลานับ 10 ปี ลงเหลือเพียงไม่กี่เดือน ซึ่งบ่งชี้ถึงความเร่งด่วนที่จะยับยั้งการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ซึ่งมีผู้ติดเชื้อทั่วโลกกว่า 5 ล้านราย และมีผู้เสียชีวิตกว่า 3.35 แสนรายแล้ว รวมทั้งยังส่งผลกระทบอย่างหนักต่อเศรษฐกิจโลกด้วย
คณะนักวิทยาศาสตร์เปิดเผยว่า ผู้ผลิตวัคซีนชั้นนำได้ตกลงที่จะแบ่งปันข้อมูล และให้ยืมใช้เครือข่ายการทดลองทางคลินิกกับบรรดาคู่แข่ง หากวัคซีนของตนประสบความล้มเหลวในการทดลอง
ส่วนวัคซีนที่แสดงว่ามีความปลอดภัยในการทดลองขนาดเล็กในขั้นต้นนั้น จะได้รับการทดสอบขั้นต่อไปในการทดลองขนาดใหญ่กับอาสาสมัครจำนวน 2-3 หมื่นรายสำหรับแต่ละวัคซีน ซึ่งจะเริ่มขึ้นในเดือนก.ค.นี้
ดร.ลาร์รี คอรีย์ ผู้เชี่ยวชาญด้านวัคซีนของศูนย์มะเร็งเฟรด ฮัทชินสันในซีแอตเทิลซึ่งช่วยออกแบบการทดลองนี้เปิดเผยว่า อาจจะมีประชาชนราว 1-1.5 แสนคนเข้าร่วมในการทดลองนี้
ด้านดร.ฟรานซิส คอลลินส์ ผู้อำนวยการของสถาบันสุขภาพแห่งชาติ (NIH) เปิดเผยกับรอยเตอร์ว่า "หากไม่มีปัญหาด้านความปลอดภัย เราก็เพียงแต่เดินหน้าต่อไป"
ทั้งนี้ ความพยายามพัฒนาวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 นี้เป็นส่วนหนึ่งในความร่วมมือระหว่างภาครัฐและภาคเอกชนของสหรัฐที่ประกาศขึ้นเมื่อเดือนที่แล้ว โดยใช้ชื่อโครงการว่า Accelerating COVID-19 Therapeutic Interventions and Vaccines (ACTIV)
ความพยายามนี้สอดรับกับการวิจัยและพัฒนาของโครงการ Operation Warp Speed ที่ทำเนียบขาวประกาศเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว เพื่อเร่งการพัฒนาวัคซีนต้านไวรัสโควิด-19 ซึ่งการทดลองวัคซีนจะดำเนินการแบบเป็นขั้นตอนอย่างต่อเนื่อง โดยจะเริ่มจากการทดลองในสัตว์
ดร.คอลลินส์และดร.คอรีย์เปิดเผยว่า การทดสอบวัคซีนโควิด-19 ในคน จะเริ่มจากการทดลองความปลอดภัยในกลุ่มอาสาสมัครขนาดเล็กซึ่งเป็นผู้ที่มีสุขภาพแข็งแรง ตามมาด้วยการศึกษากับกลุ่มที่มีขนาดใหญ่ขึ้นเพื่อพิจารณาถึงปริมาณโดสที่เหมาะสม และผลลัพธ์ขั้นต้นในด้านประสิทธิภาพของวัคซีน
ส่วนในขั้นตอนสุดท้ายนั้นจะประกอบด้วยการทดสอบขนาดใหญ่ในกลุ่มประชาชนหลายพันคน และหลังจากนั้นผู้พัฒนาก็จะต้องทำการผลิตวัคซีนปริมาณหลายล้านโดสต่อไป
ดร.คอลลินส์ระบุว่า วัคซีนของบริษัท Moderna ซึ่งพัฒนาร่วมกับ NIH จะเป็นรายแรกที่เข้าร่วมในการทดลองขนาดใหญ่ในเดือนก.ค.นี้ ขณะที่มหาวิทยาลัยออกซ์ฟอร์ด และบริษัท AstraZeneca ของอังกฤษ ก็อาจจะเข้าร่วมการทดลองวัคซีนต้านโควิด-19 ด้วย
ดร.คอลลินส์ไม่ได้เปิดเผยรายชื่อบริษัทพัฒนาวัคซีนโควิด-19 รายอื่นๆ ในรายชื่อจำนวน 14 ราย แต่ระบุว่า บริษัทที่พัฒนาวัคซีนจำเป็นจะต้องเสร็จสิ้นการทดสอบความปลอดภัยขั้นต้นภายในฤดูร้อนนี้ (มิ.ย.-ส.ค.) เพื่อเข้าร่วมการทดลองที่มีขนาดใหญ่ขึ้นต่อไป