อีริค เจฟฟรีย์ โทพอล แพทย์โรคหัวใจชาวอเมริกัน และผู้เขียนหนังสือขายดีหลายเล่ม ยกย่อง 5 ประเทศที่ประสบความสำเร็จในการควบคุมการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ซึ่งได้แก่ นิวซีแลนด์ ไอซ์แลนด์ ไต้หวัน เวียดนาม และประเทศไทย
นายโทพอลแสดงความเห็นดังกล่าวผ่านการทวีตข้อความในช่วงเช้าวันนี้ พร้อมโพสต์รูปกราฟที่ไฟแนนเชียลไทมส์นำข้อมูลจากศูนย์ป้องกันและควบคุมโรคของยุโรป และสถิติการติดตามผู้ติดเชื้อในสหรัฐของ Covid Tracking Project ที่มีการอัปเดตล่าสุดในวันอาทิตย์ที่ 24 พ.ค. มาวิเคราะห์ ซึ่งกราฟดังกล่าวแสดงให้เห็นว่า ยอดการติดเชื้อโควิด-19 ในนิวซีแลนด์ ไอซ์แลนด์ ไต้หวัน เวียดนาม และประเทศไทย มีลักษณะเป็นรูประฆังคว่ำ ซึ่งบ่งชี้ว่า การแพร่ระบาดกำลังเข้าสู่ทิศทางขาลง และใกล้ถึงระยะสิ้นสุดของการแพร่ระบาด
ทั้งนี้ นิวซีแลนด์ ไอซ์แลนด์ ไต้หวัน เวียดนาม และประเทศไทย ได้เริ่มทยอยเปิดเศรษฐกิจอีกครั้ง หลังจากที่มีการใช้มาตรการมาตรการล็อกดาวน์อย่างเข้มงวด จนทำให้จำนวนผู้ติดเชื้อชะลอตัวลง โดยนิวซีแลนด์ไม่พบผู้ติดเชื้อโควิด-19 ติดต่อกันเป็นเวลาหลายวัน จึงทำให้รัฐบาลตัดสินใจยกเลิกการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉิน และเข้าสู่ช่วงเปลี่ยนผ่านทั่วประเทศ (National Transition Period) เมื่อวันที่ 13 พ.ค.ที่ผ่านมา ก่อนที่จะลดระดับความเข้มงวดในการใช้มาตรการล็อกดาวน์ลงสู่ระดับที่ 2 จากเดิมที่เคยใช้ในระดับที่ 4
ขณะที่ไต้หวันประสบความสำเร็จในการควบคุมการแพร่ระบาด เนื่องจากรัฐบาลได้ใช้มาตรการล็อกดาวน์และควบคุมการสัญจรอย่างเข้มงวดตั้งแต่ช่วงเริ่มต้นของการระบาด ด้านเวียดนามทำสถิติไม่มีผู้เสียชีวิตจากโควิด-19 เลยแม้แต่คนเดียว ทั้งๆ ที่เวียดนามมีพรมแดนติดกับประเทศจีน ซึ่งเป็นประเทศแรกที่พบการแพร่ระบาด ส่วนมาตรการควบคุมการแพร่ระบาดที่โดดเด่นของไอซ์แลนด์คือ การตรวจคัดกรองฟรีให้ประชาชนและนักท่องเที่ยว
สำหรับในประเทศไทยนั้น พญ.พรรณประภา ยงค์ตระกูล ผู้ช่วยโฆษกศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด-19 (ศบค.) เปิดเผยสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ในประเทศเมื่อวานนี้ (24 พ.ค.) ว่า ไม่พบผู้ป่วยยืนยันติดเชื้อรายใหม่ ทำให้คงมีจำนวนผู้ป่วยสะสม 3,040 ราย รักษาหายเพิ่มขึ้น 5 ราย ทำให้มีจำนวนผู้ป่วยที่รักษาหายแล้วรวม 2,921 ราย และยังมีผู้ป่วยรักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาล 63 ราย ขณะที่ไม่พบผู้เสียชีวิตเพิ่ม ทำให้ยอดผู้เสียชีวิตสะสมคงที่ 56 ราย
อนึ่ง นายอีริค เจฟฟรีย์ โทพอล เป็นผู้ก่อตั้งและเป็นผู้อำนวยการสถาบัน Scripps Research Translational Institute นอกจากนี้ ยังเป็นผู้เขียนหนังสือขายดีด้านการแพทย์ 3 เล่ม ได้แก่ The Creative Destruction of Medicine (ตีพิมพ์ในปี 2553) The Patient Will See You Now (ตีพิมพ์ในปี 2558) และ Deep Medicine: How Artificial Intelligence Can Make Healthcare Human Again (ตีพิมพ์ในปี 2562)