มหาวิทยาลัยวอชิงตันเผยแบบจำลองการระบาดของโรคโควิด-19 ที่แสดงให้เห็นว่า ยอดผู้เสียชีวิตจากโควิดในสหรัฐอาจเพิ่มขึ้นเป็นกว่า 208,000 รายภายในวันที่ 1 พ.ย. นี้ หากประชาชนไม่สวมหน้ากากอนามัยกันอย่างจริงจัง และยังคาดการณ์ด้วยว่าการระบาดจะรุนแรงขึ้นเมื่อเข้าสู่ฤดูใบไม้ร่วง
ซีเอ็นเอ็นรายงานว่า สถาบันชี้วัดและประเมินสุขภาพ (IHME) ในสังกัดมหาวิทยาลัยวอชิงตันของสหรัฐ ระบุว่า หากประชาชน 95% สวมหน้ากากอนามัย อาจช่วยชีวิตผู้คนได้มากกว่า 45,000 คน
สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า ดร. คริสโตเฟอร์ เมอร์เรย์ ผู้อำนวยการของ IHME กล่าวในแถลงการณ์ก่อนหน้านี้ว่า "การระบาดระลอกแรกในสหรัฐยังไม่ถึงจุดสิ้นสุดที่แท้จริง" และเพิ่มเติมว่า "สถานการณ์ขณะนี้ยังไม่น่าไว้วางใจว่าเราจะรอดพ้นจากการระบาดรอบสองที่อาจเกิดขึ้นในฤดูใบไม้ร่วงได้ ซึ่งจะสร้างความเสียหายอย่างรุนแรงโดยเฉพาะในรัฐต่างๆ ที่มีผู้ติดเชื้อเป็นจำนวนมากอยู่ในขณะนี้"
ขณะที่นายแพทย์แอนโทนี ฟอซี ผู้อำนวยการสถาบันภูมิแพ้และโรคติดต่อแห่งชาติสหรัฐ กล่าวในระหว่างไลฟ์สดกับนายฟรานซิส คอลลินส์ ผู้อำนวยการของสถาบันสุขภาพแห่งชาติ (NIH) เมื่อวานนี้ว่า ผลจากการที่รัฐและเมืองต่างๆ พยายามเปิดเมืองและกลับมาใช้ชีวิตตามปกติ ทำให้สถานการณ์โควิด-19 ไปสู่จุดที่สหรัฐต้องเผชิญกับยอดผู้ติดเชื้อที่สูงเป็นประวัติการณ์อยู่ในขณะนี้
ทางด้านนายแพทย์อาชิช์ จาห์ ผู้อำนวยการสถาบันสุขภาพโลกแห่งมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด เปิดเผยกับฟ็อกซ์นิวส์ว่า สหรัฐเปิดเศรษฐกิจเร็วเกินไปในบางพื้นที่ พร้อมระบุว่า "การสื่อสารเรื่องหน้ากากอนามัยและการเว้นระยะห่างทางสังคมสะเปะสะปะเกินไป จนนำมาสู่ช่วงเวลาที่ล่อแหลมสำหรับประเทศของเราในมุมมองของผม"