ท็อป โกลฟ คอร์ป บริษัทผู้ผลิตถุงมือยางรายใหญ่ที่สุดของโลกจากมาเลเซีย เปิดเผยในวันนี้ว่า บริษัทมีกำไรสุทธิพุ่งขึ้นเกือบ 6 เท่าในช่วงเดือนมี.ค.-พ.ค. ซึ่งเป็นไตรมาส 3 ตามปีงบการเงินของบริษัท โดยได้อานิสงส์จากความต้องการใช้ถุงมือจำนวนมาก ท่ามกลางการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19
ทั้งนี้ ท็อป โกลฟเปิดเผยว่า บริษัทมีกำไรสุทธิ 2.04 พันล้านริงกิต (500 ล้านดอลลาร์) หรือราว 15,500 ล้านบาทในไตรมาส 3 จากระดับ 347.9 ล้านริงกิตในช่วงเดียวกันของปี 2563
นอกจากนี้ ท็อป โกลฟยังเปิดเผยว่า บริษัทมีรายได้พุ่งสู่ระดับ 4.16 พันล้านริงกิตในไตรมาส 3 จากระดับ 1.69 พันล้านริงกิตในช่วงเดียวกันของปี 2563
สำหรับในช่วง 9 เดือนที่สิ้นสุดเดือนพ.ค. ท็อป โกลฟมีกำไรสุทธิพุ่งขึ้นมากกว่า 12 เท่า สู่ระดับ 7.26 พันล้านริงกิต จากระดับ 575 ล้านริงกิตในช่วงเดียวกันของปี 2563 ขณะที่รายได้พุ่งสู่ระดับ 1.429 หมื่นล้านริงกิต จากระดับ 4.13 พันล้านริงกิต
ขณะเดียวกัน ท็อป โกลฟตั้งเป้าหมายว่าภายในสิ้นปี 2567 บริษัทจะมีโรงงานทั้งหมด 60 แห่ง โดยจะมีกำลังการผลิตถุงมือ 2.05 แสนล้านชิ้นต่อปี