บริษัท Chainanalysis เปิดเผยผลการวิจัยฉบับใหม่ระบุว่า ในปี 2563 ประชาชนในสหรัฐทำกำไรจากการซื้อขายบิตคอยน์ได้มากถึง 4.1 พันล้านดอลลาร์ ซึ่งมากกว่าประเทศใดๆ ในโลก ขณะที่นักลงทุนในจีนรั้งอันดับสองที่ระดับ 1 พันล้านดอลลาร์ตามมาด้วยญี่ปุ่นและอังกฤษ ขณะที่นักลงทุนในรัสเซีย, เยอรมนี, ฝรั่งเศส และสเปนต่างทำกำไรจากบิตคอยน์ได้ราว 500 ล้านดอลลาร์ พร้อมทั้งคาดว่า ปี 2563 จะเป็นปีที่ต้องจดจำเนื่องจากบิตคอยน์ได้กลายเป็นความสนใจกระแสหลักในการลงทุน
ผลวิจัยระบุว่า ธรรมชาติของแพลตฟอร์มซื้อขายบิตคอยน์นั้นมีการกระจายศูนย์ จึงไม่สามารถตรวจสอบได้แน่ชัดว่าผู้ที่แลกเปลี่ยนบิตคอยน์ในแต่ละธุรกรรมนั้นอยู่ที่ใด อย่างไรก็ดี คณะผู้วิจัยสามารถประมาณการตัวเลขออกมาได้ด้วยการใช้ข้อมูลธุรกรรมจากบริการต่างๆ ที่ Chainanalysis ทำการเก็บข้อมูล โดยธุรกรรมเหล่านี้มีทั้งการฝาก การถอน และยอดการเข้าเว็บไซต์ต่างๆ จากตลาดแลกเปลี่ยนเงินคริปโตเคอเรนซี
ข้อมูลนี้เสดงให้เห็นว่า แม้สหรัฐจะใช้มาตรการล็อกดาวน์หลายครั้ง และมีอัตราการว่างงานสูงในปี 2563 แต่การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ก็ได้ทำให้ชาวอเมริกันหันมาลงทุนในบิตคอยน์กันมากที่สุดในรอบหลายปี
นักลงทุนในทุกประเทศที่ Chainanalysis ทำการเก็บข้อมูลนั้น ทำกำไรได้มากที่สุดในช่วงที่ราคาบิตคอยน์ทะยานขึ้นจากกว่า 11,000 ดอลลาร์ในช่วงกลางเดือนต.ค. 2563 สู่ระดับเกือบ 30,000 ดอลลาร์ในปลายเดือนธ.ค. 2563
ทั้งนี้ ในช่วงเดือนธ.ค.นั้น นักลงทุนในสหรัฐส่วนใหญ่ได้ทำการขายสินทรัพย์ที่เป็นคริปโตเคอเรนซีทั้งหมดแล้ว แต่ราคาบิตคอยน์ก็ยังคงพุ่งขึ้นอย่างต่อเนื่องจนถึงเดือนเม.ย. 2564 จนทำสถิติใหม่ที่ 65,000 ดอลลาร์ ก่อนจะเริ่มร่วงลงอีกครั้ง
ข้อมูล ณ วันที่ 8 มิ.ย. 2564 ระบุว่า ราคาบิตคอยน์ปรับตัวอยู่ในกรอบแคบๆ ใกล้ระดับ 30,000 ดอลลาร์ โดยหลายฝ่ายมองว่า เหตุที่ราคาบิตคอยน์ปรับตัวลงนั้น เกิดจากการที่รัฐบาลสหรัฐสามารถกู้คืนเงินค่าไถ่ซึ่งเป็นบิทคอยน์มูลค่า 4.4 ล้านดอลลาร์จากกลุ่มแฮ็กเกอร์ที่โจมตีบริษัทโคโลเนียล ไปป์ไลน์