องค์การอนามัยโลก (WHO) เปิดเผยว่า เชื้อไวรัสโควิด-19 สายพันธุ์เดลตาที่พบครั้งแรกในอินเดียได้แพร่กระจายไปยังประเทศต่างๆ แล้วกว่า 80 ประเทศ โดยพบว่าเชื้อไวรัสดังกล่าวยังคงมีการกลายพันธุ์อย่างต่อเนื่อง
ขณะนี้ในสหรัฐตรวจพบไวรัสสายพันธุ์เดลตาเป็นจำนวน 10% ของจำนวนผู้ติดเชื้อโควิด-19 รายใหม่ทั้งหมด
งานวิจัยหลายแหล่งระบุว่า เชื้อไวรัสสายพันธุ์เดลตาสามารถแพร่กระจายได้เร็วกว่าสายพันธุ์อื่นๆ ขณะที่เจ้าหน้าที่ WHO เปิดเผยรายงานที่ได้รับว่า สายพันธุ์เดลตาอาจทำให้ผู้ป่วยมีอาการหนักกว่าสายพันธุ์อื่นๆ ด้วย แต่ในขณะนี้ยังไม่มีงานวิจัยมากเพียงพอที่จะยืนยันข้อมูลดังกล่าว
นอกจากนี้ WHO ยังติดตามรายงานการตรวจพบสายพันธุ์ "เดลตา พลัส" (Delta Plus) เมื่อไม่นานมานี้ โดยดร. มาเรีย ฟาน เคิร์กโฮฟ เจ้าหน้าที่ระดับสูงฝ่ายเทคนิคของ WHO กล่าวว่า "ดิฉันคิดว่ารายงานนี้หมายถึงมีการตรวจพบการกลายพันธุ์แบบใหม่ จึงทำให้เราต้องตรวจสอบทั้งหมด"
ขณะเดียวกัน WHO ก็ได้เพิ่มรายชื่อเชื้อไวรัสโควิด-19 สายพันธุ์ใหม่อีกตัวหนึ่งในรายชื่อสายพันธุ์ที่ต้องติดตาม โดยให้ชื่อว่าสายพันธุ์แลมบ์ดา (Lambda)
ทั้งนี้ WHO มีการติดตามเชื้อไวรัสโควิด-19 มากกว่า 50 สายพันธุ์ แต่ไม่ใช่ทุกสายพันธุ์จะเป็นอันตรายต่อสุขอนามัยระดับโลกจนต้องเพิ่มในรายชื่อเฝ้าระวัง
ดร. ฟาน เคิร์กโฮฟระบุว่า ไวรัสสายพันธุ์แลมบ์ดามีการกลายพันธุ์หลายจุดในโปรตีนส่วนหนาม ซึ่งอาจส่งผลต่ออัตราการแพร่กระจายของเชื้อได้ แต่ยังไม่มีงานวิจัยมากเพียงพอที่จะทำความเข้าใจเชื้อไวรัสสายพันธุ์นี้ได้อย่างสมบูรณ์
ขณะนี้นักวิจัยในภูมิภาคอเมริกาใต้จากหลายประเทศรายงานว่าตรวจพบเชื้อไวรัสโควิด-19 สายพันธุ์แลมบ์ดา รวมถึงชิลี, เปรู, เอกวาดอร์ และอาร์เจนตินา โดยความสามารถในการตรวจพบนี้เป็นผลมาจากการยกระดับการตรวจสอบจีโนมของเชื้อไวรัส