ประธานาธิบดีโจ ไบเดน ผู้นำสหรัฐมีกำหนดการร่วมหารือกับกลุ่มวุฒิสมาชิกจากพรรคเดโมแครตและพรรครีพับลิกันในวันนี้ เพื่อพิจารณาขอบเขตของร่างกฎหมายสนับสนุนการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน โดยปธน.ไบเดนตั้งใจผลักดันแผนงบประมาณวงเงินสูงนี้เข้าสู่สภาคองเกรส แม้จะมีเสียงคัดค้านจากฝั่งรีพับลิกันก็ตาม
สมาชิกกลุ่มวุฒิสมาชิก 21 คน หรือกลุ่ม "G-21" เปิดเผยข้อเสนอขอบเขตของร่างกฎหมายดังกล่าวเมื่อวานนี้ หลังจากได้พบปะกับเจ้าหน้าที่จากทำเนียบขาว โดยการหารือของกลุ่ม G-21 นั้นมุ่งเน้นไปที่แผนการลงทุนระยะ 8 ปีที่มีวงเงิน 1.2 ล้านล้านดอลลาร์ โดยจะมีทั้งงบประมาณที่จัดสรรขึ้นใหม่และงบประมาณที่ถ่ายโอนมาจากด้านอื่นๆ
สำหรับปธน.ไบเดนแล้ว การทำให้แผนลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ได้รับการสนับสนุนนั้น ถือเป็นประเด็นภายในประเทศที่มีความสำคัญอันดับหนึ่ง
ปธน.ไบเดนได้เปิดฉากเจรจากับกลุ่ม G-21 ในครั้งนี้ หลังจากหัวพรรคเดโมแครตได้ยุติการเจรจากับนางเชลลีย์ มัวร์ คาพิโต วุฒิสมาชิกจากพรรครีพับลิกัน โดยแถลงการณ์จากทำเนียบขาวระบุว่า ข้อเสนอของนางคาพิโตนั้นไม่สามารถตอบสนองความจำเป็นของสหรัฐได้
ทั้งนี้ ปธน.ไบเดนต้องการผลักดันเศรษฐกิจให้เติบโต พร้อมกับแก้ปัญหาความเหลื่อมล้ำทางรายได้หลังผ่านพ้นวิกฤตโควิด-19 จึงได้เสนอร่างงบประมาณวงเงิน 2.3 ล้านล้านดอลลาร์ไปก่อนหน้านี้ แต่ก็ถูกวิพากษ์วิจารณ์จากฝั่งรีพับลิกันในประเด็นคำนิยามของโครงสร้างพื้นฐาน ซึ่งรวมถึงมาตรการรับมือกับปัญหาโลกร้อน และสวัสดิการสำหรับเด็ก เยาวชน และผู้สูงอายุ
ในเวลาต่อมา ปธน.ไบเดนได้ปรับลดวงเงินของร่างงบประมาณดังกล่าวลงเหลือ 1.7 ล้านล้านดอลลาร์ โดยหวังจะเรียกเสียงสนับสนุนจากฝั่งรีพับลิกัน แต่ไม่เป็นผลสำเร็จ ทั้งนี้ ปธน.ไบเดนยังต้องการเสียงสนับสนุนจากฝั่งรีพับลิกันในการรวบรวมคะแนนเสียงให้ถึง 60 เสียง เพื่อให้สามารถผ่านร่างกฎหมายได้ในวุฒิสภา ซึ่งมีสมาชิกพรรครีพับลิกันและพรรคเดโมแครตฝ่ายละ 50 เสียงเท่ากัน
อุปสรรคสำคัญของการเสนอร่างกฎหมายนี้คือการจัดหางบประมาณเพื่อใช้ในการลงทุน โดยปธน.ไบเดนได้ให้คำมั่นว่า จะไม่ปรับขึ้นอัตราภาษีสำหรับประชาชนผู้มีรายได้ต่ำกว่า 4 แสนดอลลาร์ต่อปี ขณะที่พรรครีพับลิกันตั้งใจจะรักษาอัตราภาษีนิติบุคคลไว้ในระดับเดิมซึ่งได้รับการลดหย่อนตั้งแต่ปี 2560