ศูนย์ควบคุมและป้องกันโรค (CDC) ของสหรัฐคาดการณ์จากการจำลองข้อมูลว่า ไวรัสโควิด-19 สายพันธุ์เดลตา (Delta) จากอินเดียได้กลายเป็นสายพันธุ์หลักในสหรัฐแล้ว โดยคิดเป็นสัดส่วนถึง 51.7% ของยอดผู้ติดเชื้อของสหรัฐในรอบ 2 สัปดาห์ที่สิ้นสุด ณ วันที่ 3 ก.ค. แทนที่สายพันธุ์อัลฟา (Alpha) จากอังกฤษซึ่งมีสัดส่วนลดลงเหลือ 28.7% ในช่วงเวลาเดียวกัน
หลายรัฐในสหรัฐกำลังเผชิญปัญหาผู้ติดเชื้อโควิด-19 มากขึ้น และผู้ที่ต้องรักษาตัวในโรงพยาบาลพุ่งสูงขึ้น ขณะโรคโควิด-19 สายพันธุ์เดลตา แพร่ระบาดอย่างรวดเร็วในประเทศ โดยขณะนี้พบผู้ติดเชื้อโควิด-19 สายพันธุ์เดลตาในทุกรัฐแล้ว
ประธานาธิบดีโจ ไบเดน และเจ้าหน้าที่สาธารณสุขระบุว่า เชื้อไวรัสสายพันธุ์เดลตาติดต่อได้ง่ายกว่าสายพันธุ์อื่นๆ ซึ่งมีความเสี่ยงอย่างมากต่อผู้ที่ไม่ได้เข้ารับการฉีดวัคซีน พร้อมเชิญชวนให้ชาวอเมริกันรีบฉีดวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 เพื่อสกัดการแพร่ระบาดของสายพันธุ์ดังกล่าว
เมื่อเดือนพ.ค. ปธน.ไบเดนได้ตั้งเป้าหมายฉีดวัคซีนอย่างน้อยหนึ่งโดสแก่ผู้ใหญ่ชาวอเมริกัน 70% ภายในวันที่ 4 ก.ค. ซึ่งเป็นวันชาติสหรัฐ แต่มีเพียง 18 รัฐ และกรุงวอชิงตัน ดี.ซี. เท่านั้นที่บรรลุเป้าหมายดังกล่าว
สถานีโทรทัศน์ ABC รายงานว่า 30% ของผู้ใหญ่ในสหรัฐไม่ได้เข้ารับการวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 และไม่มีแผนที่จะฉีดวัคซีน โดยในบรรดาผู้ที่ปฏิเสธการฉีดวัคซีนนั้น 73% ระบุว่า เจ้าหน้าที่ของสหรัฐกล่าวเกินจริงเกี่ยวกับความเสี่ยงของไวรัสสายพันธุ์เดลตา และ 79% คิดว่าพวกเขามีความเสี่ยงเพียงเล็กน้อยหรือไม่มีเลยที่จะติดเชื้อโควิด-19