รัฐบาลสหรัฐยกระดับคำเตือนสำหรับบริษัทที่มีห่วงโซ่อุปทานและการลงทุนในมณฑลซินเจียง ทางตะวันตกเฉียงเหนือของจีน โดยระบุถึงความเสี่ยงจากข้อกล่าวหาการละเมิดสิทธิมนุษยชนขั้นรุนแรงและการบังคับใช้แรงงาน
"ธุรกิจและบุคคลที่ยังเกี่ยวข้องกับห่วงโซ่อุปทาน การลงทุนร่วม และ/หรือการลงทุนในมณฑลซินเจียงนั้น อาจมีความเสี่ยงสูงที่จะเข้าข่ายละเมิดกฎหมายของสหรัฐ" กระทรวงการต่างประเทศและหน่วยงานอื่นระบุในเอกสารแนะนำธุรกิจ ซึ่งมีการปรับปรุงเพิ่มเติมจากฉบับเดิมที่ประกาศออกมาเมื่อเดือนก.ค. ปีก่อนหน้า
สำนักข่าวเกียวโดรายงานว่า การเปิดเผยเอกสารแนะนำธุรกิจดังกล่าวเป็นความพยายามล่าสุดของคณะบริหารของประธานาธิบดีโจ ไบเดน ที่ต้องการกดดันจีนในข้อหาละเมิดสิทธิมนุษยชนต่อชาวมุสลิมอุยกูร์ และชนกลุ่มน้อยในมณฑลซินเจียง โดยคณะบริหารของปธน.ไบเดนประณามว่าเป็นการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์และอาชญากรรมต่อมนุษยชาติ
เอกสารดังกล่าวระบุว่า ความเสี่ยงทางด้านกฎหมายที่บริษัทเอกชนอาจเผชิญ ได้แก่ การละเมิดกฎเกณฑ์ที่กำหนดความผิดทางอาญาในการบังคับใช้แรงงาน การควบคุมการส่งออก และการห้ามนำเข้าสินค้าที่ผลิตโดยการบังคับใช้แรงงาน
ขณะเดียวกัน บริษัทอาจเผชิญกับความเสี่ยงด้านชื่อเสียงหรือการบังคับใช้กฎหมายอาญาของสหรัฐผ่านการลงทุนในบริษัทจีน ทั้งทางตรงและทางอ้อม ซึ่งมีส่วนส่งเสริมเครือข่ายการสอดส่องของจีนที่มุ่งเป้าไปยังชนกลุ่มน้อยมุสลิมเป็นส่วนใหญ่
สำนักงานผู้แทนการค้าของสหรัฐ (USTR) เปิดเผยโดยอ้างข้อมูลจากกระทรวงต่างประเทศและกระทรวงแรงงานของสหรัฐว่า ผลการศึกษาบ่งชี้ว่า มีชาวอุยกูร์ ชาวคาซัค และชาติพันธุ์มุสลิมมากกว่า 1 ล้านรายถูกคุมขังอย่างไม่เป็นธรรมในค่ายกักกันภายในมณฑลซินเจียง
นอกจากนี้ ผลการศึกษายังแสดงให้เห็นว่า แรงงานอย่างน้อย 100,000 รายถูกบังคับให้ใช้แรงงานในโรงงานในเขตอุตสาหกรรมที่มีค่ายกักกันตั้งอยู่ หรือถูกย้ายออกจากซินเจียงไปยังโรงงานในส่วนอื่น ๆ ของจีน