รัฐบาลฟิลิปปินส์ประกาศขยายเวลาการใช้มาตรการห้ามผู้ที่เดินทางจากอินเดีย ปากีสถาน ศรีลังกา บังกลาเทศ เนปาล โอมาน และสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ (UAE) เดินทางเข้าประเทศ ออกไปจนถึงวันที่ 31 ก.ค. จากเดิมที่กำหนดให้สิ้นสุดลงในวันที่ 15 ก.ค.
นายแฮร์รี โร้ก โฆษกประธานาธิบดีฟิลิปปินส์เปิดเผยในระหว่างการแถลงข่าววันนี้ว่า คณะกรรมการที่รับผิดชอบด้านการรับมือกับการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ได้อนุมัติการขยายมาตรการดังกล่าวออกไป จากเดิมที่มีกำหนดสิ้นสุดในวันพรุ่งนี้ (15 ก.ค.) โดยมีเป้าหมายเพื่อป้องกันการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 สายพันธุ์เดลตาซึ่งพบครั้งแรกในอินเดีย
ฟิลิปปินส์ตรวจพบเชื้อไวรัสสายพันธุ์เดลตาในตัวอย่างที่ได้จากชาวฟิลิปปินส์ 19 คนที่เดินทางกลับจากต่างประเทศ อย่างไรก็ดี จนถึงขณะนี้ยังไม่พบว่ามีการแพร่ระบาดของไวรัสสายพันธุ์เดลตาในชุมชนของฟิลิปปินส์
ทั้งนี้ ณ วันอังคารที่ 14 ก.ค. ยอดผู้ติดเชื้อสะสมในฟิลิปปินส์อยู่ที่ 1,481,660 ราย และยอดผู้เสียชีวิตอยู่ที่ 26,092 ราย
ฟิทช์ เรทติ้งส์ ได้ปรับลดแนวโน้มความน่าเชื่อถือของฟิลิปปินส์ลงสู่ระดับ "เชิงลบ" จาก "มีเสถียรภาพ" ซึ่งบ่งชี้ว่า มีโอกาสที่ฟิทช์จะปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือของฟิลิปปินส์ในอีก 18-24 เดือนข้างหน้า โดยปัจจุบันฟิทช์ให้อันดับความน่าเชื่อถือของฟิลิปปินส์ที่ BBB
การที่ฟิทช์ปรับลดแนวโน้มความน่าเชื่อถือของฟิลิปปินส์ในครั้งนี้ ได้สร้างแรงกดดันต่อรัฐบาลของประธานาธิบดีโรดริโก ดูเตอร์เตที่พยายามลดผลกระทบทางเศรษฐกิจที่เกิดจากการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ในขณะที่ระบบสาธารณสุขของประเทศกำลังเผชิญวิกฤตการณ์ร้ายแรง
ทั้งนี้ หากฟิทช์ปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือของฟิลิปปินส์ ก็จะถือเป็นการปรับลดครั้งแรกในรอบ 16 ปี โดยการปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือครั้งหลังสุดเกิดขึ้นเมื่อปี 2548 ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่ฟิลิปปินส์ในยุคอดีตประธานาธิบดีกลอเรีย มาคาปากัล อาร์โรโย เผชิญกับวิกฤตการณ์ทางการเมือง
ฟิทช์ระบุในแถลงการณ์ว่า การปรับลดแนวโน้มความน่าเชื่อถือของฟิลิปปินส์ในครั้งนี้ สะท้อนให้เห็นว่า ผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 กำลังสร้างความเสี่ยงเพิ่มขึ้นต่ออันดับความน่าเชื่อถือของประเทศ และผลกระทบที่ตามมาของการดำเนินนโยบายทั้งในด้านเศรษฐกิจและการคลัง