เจ้าหน้าที่สาธารณสุขประจำเทศมณฑลลอสแองเจลิสประกาศเตรียมบังคับให้ประชาชนทุกคนสวมหน้ากากอนามัยในสถานที่สาธารณะเมื่ออยู่ภายในอาคารอีกครั้ง แม้จะได้รับการฉีดวัคซีนแล้วก็ตาม เนื่องจากยอดผู้ติดเชื้อโควิด-19 ที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง
รายงานระบุว่า คำสั่งบังคับสวมหน้ากากอนามัยจะเริ่มมีผลบังคับใช้ในเวลา 23:59 น. ตามเวลาท้องถิ่นของวันเสาร์ โดยความเคลื่อนไหวดังกล่าวมีขึ้นหลังจากที่แคลิฟอร์เนียกลับมาเปิดเศรษฐกิจอีกครั้งโดยสมบูรณ์เมื่อวันที่ 15 มิ.ย. พร้อมการยกเลิกมาตรการควบคุมโรคเกือบทั้งหมดได้เพียง 1 เดือน ซึ่งในช่วงเวลาดังกล่าว บุคคลที่ได้รับการฉีดวัคซีนครบถ้วนแล้วจะไม่จำเป็นต้องสวมหน้ากากอนามัยในสถานที่สาธารณะส่วนใหญ่
กระทรวงสาธารณสุขประจำเทศมณฑลลอสแองเจลิสระบุว่า "เราพบผู้ติดเชื้อรายใหม่เพิ่มขึ้น 7 เท่า นับตั้งแต่กลับมาเปิดเศรษฐกิจอีกครั้งเมื่อวันที่ 15 มิ.ย." พร้อมเสริมว่า การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ในชุมชนเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วจากระดับปานกลางสู่ระดับสูง
เมื่อวันที่ 15 มิ.ย. เทศมณฑลลอสแองเจลิสรายงานพบผู้ติดเชื้อรายใหม่ 210 ราย ซึ่งแตะระดับสูงที่สุดนับตั้งแต่กลางเดือนมี.ค. รวมยอดสะสมที่ 1,537 ราย ขณะที่อัตราการตรวจหาเชื้อที่เป็นบวกเพิ่มขึ้นจากระดับ 0.5% ในเดือนก่อนหน้า แตะ 3.7% ในวันพฤหัสบดี
ขณะเดียวกัน เทศมณฑลลอสแองเจลิสรายงานพบผู้ติดเชื้อรายใหม่มากกว่า 1,000 รายติดต่อกันเป็นเวลา 7 วัน ท่ามกลางการแพร่ระบาดของไวรัสสายพันธุ์เดลตา
นายมุนตู เดวิส เจ้าหน้าที่สาธารณสุขของเทศมณฑลลอสแองเจลิส ระบุว่า "เราคาดหวังว่าประชาชนจะปฎิบัติตามข้อกำหนดการสวมหน้ากากจนกว่าเราจะเห็นสัญญาณที่ดีขึ้นของการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ภายในชุมชน" พร้อมเรียกร้องให้ประชาชนทุกคนเข้ารับการฉีดวัคซีน
ทั้งนี้ กระทรวงสาธารณสุขประจำเทศมณฑลลอสแองเจลิสรายงานยอดรวมผู้ติดเชื้อโควิด-19 แตะ 1,262,578 ราย และเสียชีวิต 24,566 ราย ข้อมูลยังระบุว่า 69% ของประชาชนอายุ 16 ปีขึ้นไปในเทศมณฑลลอสแองเจลิสได้รับวัคซีนอย่างน้อยหนึ่งโดส และ 61% ได้รับการฉีดวัคซีนครบถ้วนแล้ว