เจ้าหน้าที่สหรัฐเปิดเผยว่า ไวรัสโควิด-19 สายพันธุ์เดลตาได้กลายเป็นสายพันธุ์หลักที่แพร่ระบาดทั่วโลกแล้วในขณะนี้ ขณะที่จำนวนผู้เสียชีวิตพุ่งขึ้นในสหรัฐซึ่งเกือบทั้งหมดนั้นเป็นผู้ที่ยังไม่ได้รับการฉีดวัคซีน
นายแพทย์แอนโทนี เฟาชี แพทย์ใหญ่ประจำคณะทำงานด้านการควบคุมโรคโควิด-19 ของทำเนียบขาวและผู้อำนวยการสถาบันโรคภูมิแพ้และโรคติดเชื้อแห่งชาติ (NIAID) ระบุว่า ไวรัสโควิดสายพันธุ์เดลตาได้ถูกตรวจพบในราว 100 ประเทศ และขณะนี้ได้กลายเป็นสายพันธุ์หลักที่แพร่ระบาดทั่วโลกแล้ว
นางโรเชล วาเลนสกี ผู้อำนวยการศูนย์ควบคุมและป้องกันโรค (CDC) ของสหรัฐเปิดเผยในการแถลงข่าวในวันศุกร์ (16 ก.ค.) ว่า จำนวนผู้ติดเชื้อโควิด-19 ในสหรัฐเพิ่มขึ้น 70% ในสัปดาห์ที่ผ่านมา และจำนวนผู้เสียชีวิตเพิ่มขึ้น 26% ขณะที่การแพร่ระบาดเกิดขึ้นในหลายพื้นที่ซึ่งมีอัตราการฉีดวัคซีนอยู่ในระดับต่ำ
CDC ระบุว่า จำนวนผู้ติดเชื้อเฉลี่ยรายวันในรอบ 7 วันในขณะนี้อยู่สูงกว่า 26,000 ราย เพิ่มขึ้น 2 เท่าจากระดับต่ำสุดของเดือนมิ.ย.ที่ราว 11,000 ราย
นายเจฟฟ์ เซียนต์ส ผู้ประสานงานด้านการรับมือโรคโควิด-19 ของทำเนียบขาวระบุว่า การแพร่ระบาดรุนแรงที่สุดเกิดขึ้นในรัฐอาร์คันซอ, ฟลอริดา, ลุยเซียนา, มิสซูรี และเนวาดา ซึ่งทุกรัฐเหล่านั้นล้วนมีอัตราการฉีดวัคซีนที่ต่ำกว่าค่าเฉลี่ย
"กำลังมีการระบาดใหญ่ของผู้ที่ไม่ได้รับการฉีดวัคซีน" นางวาเลนสกีกล่าว พร้อมระบุเสริมว่า 97% ของผู้ป่วยโควิดที่เข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลในสหรัฐนั้น ยังไม่ได้ฉีดวัคซีน
นางวาเลนสกีได้เรียกร้องให้ชาวอเมริกันเข้ารับการฉีดวัคซีน โดยระบุว่าวัคซีนของไฟเซอร์และโมเดอร์นานั้นได้รับการพิสูจน์แล้วว่า มีประสิทธิภาพในการป้องกันไวรัสโควิดสายพันธุ์เดลตา