นายแพทย์แอนโทนี เฟาชี แพทย์ใหญ่ประจำคณะทำงานด้านการควบคุมโรคโควิด-19 ของทำเนียบขาว และผู้อำนวยการสถาบันโรคภูมิแพ้และโรคติดเชื้อแห่งชาติ (NIAID) เผยว่า ผู้ที่มีระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายเปราะบางอยู่แล้วนั้น มีแนวโน้มสูงที่ภูมิคุ้มกันของร่างกายจะไม่ตอบสนองต่อโรคได้เต็มที่ และเมื่อเวลาผ่านไป ประสิทธิภาพการป้องกันด้วยวัคซีนย่อมแผ่วลงตามที่มีข้อมูลยืนยันออกมา
นายแพทย์เฟาชีให้สัมภาษณ์ในรายการ "Meet the Press" ทางสถานีโทรทัศน์ NBC โดยระบุว่า "ในเรื่องประสิทธิภาพของวัคซีนในผู้สูงอายุและคนวัยอื่นนั้น เมื่อเวลาผ่านไปประสิทธิภาพการป้องกันย่อมลดลงแน่นอน" และอธิบายว่า "หากคุณดูข้อมูลจากไฟเซอร์จะพบว่า ประสิทธิภาพการป้องกันของไฟเซอร์ลดลงจาก 90% กว่าๆ ลงมาอยู่ที่ 84% หลังฉีดไม่กี่เดือน ส่วนข้อมูลของโมเดอร์นา แม้จะไม่ลดลงชัดเจนเท่าไรนัก แต่ทุกคนและผมก็คาดว่าไม่ช้าก็เร็วที่ประสิทธิภาพการป้องกันจะลดลงจนถึงจุดที่ต้องฉีดวัคซีนเข็มกระตุ้นให้ประชาชน"
นอกจากนี้ นายแพทย์เฟาชีกล่าวเพิ่มเติมว่า วัคซีนกระตุ้นเข็มที่ 3 คาดว่าจะฉีดให้กับผู้สูงอายุและผู้ที่มีภาวะภูมิคุ้มกันต่ำเป็นกลุ่มแรก เช่นเดียวกับเมื่อครั้งที่นำวัคซีนออกฉีดในระยะแรก โดยจะดำเนินการได้เมื่อมีข้อมูลสนับสนุน
นายแพทย์เฟาชียังหวังว่า สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (FDA) ของสหรัฐจะอนุมัติการใช้งานวัคซีนของไฟเซอร์อย่างเต็มรูปแบบในช่วงต้นเดือนส.ค.นี้ โดยในปัจจุบันวัคซีนของไฟเซอร์ได้รับอนุมัติให้ใช้ในกรณีฉุกเฉินเท่านั้น
ทั้งนี้ หลายฝ่ายพยายามกดดันให้ FDA เร่งอนุมัติวัคซีนโควิดของไฟเซอร์อย่างสมบูรณ์ เนื่องจากมีประชาชนบางกลุ่มหลีกเลี่ยงการฉีดวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 โดยอ้างเหตุผลว่า เพราะวัคซีนยังไม่ได้รับการอนุมัติอย่างเต็มรูปแบบ ซึ่งหากวัคซีนได้รับอนุมัติอย่างเต็มรูปแบบก็จะเพิ่มความเชื่อมั่นให้กับสาธารณชน และกระตุ้นให้ประชาชนจำนวนมากขึ้นเข้ารับการฉีดวัคซีน