แรนดี ไวน์การ์เทน ประธานสมาพันธ์ครูชาวอเมริกัน (American Federation of Teachers) ให้สัมภาษณ์กับสำนักข่าวเอ็นบีซี นิวส์ ว่า การฉีดวัคซีนป้องกันโควิด-19 ควรเป็นข้อบังคับสำหรับครูในสหรัฐ เพื่อปกป้องนักเรียนที่ยังเด็กเกินกว่าจะฉีดวัคซีนได้ ซึ่งถือเป็นการเปลี่ยนท่าทีมาสนับสนุนนโยบายดังกล่าวหลังจากที่มีเด็กๆ ติดเชื้อเพิ่มมากขึ้น
"สถานการณ์เปลี่ยนไปแล้ว" ไวน์การ์เทนกล่าว "ดิฉันรู้สึกแย่มากที่เด็กอายุต่ำกว่า 12 ปีไม่สามารถเข้ารับการฉีดวัคซีนได้ ดิฉันคิดว่าเราจะต้องยืนหยัดและพูดเรื่องนี้ด้วยจิตสำนึกของความเป็นครู"
อนึ่ง จำนวนเด็กที่เข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลจากโรคโควิด-19 เพิ่มขึ้นทั่วประเทศ โดยผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพระบุว่า เชื้อไวรัสสายพันธุ์เดลตามีแนวโน้มที่จะติดเชื้อในเด็กมากกว่าสายพันธุ์อัลฟา
แถลงการณ์จากทำเนียบขาวระบุว่า ครูและเจ้าหน้าที่ของโรงเรียนเกือบ 90% ได้รับการฉีดวัคซีนเรียบร้อยแล้ว
นอกจากนี้ ยังมีบริษัทและหน่วยงานของรัฐที่ออกมาตรการกำหนดให้พนักงานฉีดวัคซีนป้องกันโควิด-19 เพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ อาทิ ยูไนเต็ด แอร์ไลน์, ไทสัน ฟู้ดส์ และไมโครซอฟต์
ด้านรัฐแคลิฟอร์เนีย นิวยอร์ก และเวอร์จิเนียได้กำหนดให้พนักงานของรัฐต้องฉีดวัคซีน และนิวเจอร์ซีย์กำหนดให้พนักงานสาธารณสุขบางคนต้องฉีดวัคซีน
เบคกี พริงเกิล ประธานสมาคมการศึกษาแห่งชาติ (National Education Association) ซึ่งเป็นสหภาพครูที่ใหญ่ที่สุดของสหรัฐกล่าวกับหนังสือพิมพ์เดอะนิวยอร์กไทม์สเมื่อสัปดาห์ที่แล้วว่า ข้อกำหนดการฉีดวัคซีนควรต้องมีการเจรจาในระดับท้องถิ่น
ทางด้านนายแพทย์แอนโธนี เฟาซี ผู้อำนวยการสถาบันโรคภูมิแพ้ กล่าวว่า เป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่งที่เด็ก ๆ ควรถูกห้อมล้อมด้วยผู้ที่ได้รับวัคซีนแล้วและสวมหน้ากากในโรงเรียนและที่อื่นๆ จนกว่าเด็กๆ จะสามารถเข้ารับการฉีดวัคซีนได้