รัฐบาลสหรัฐของประธานาธิบดีโจ ไบเดน แถลงว่า รัฐบาลวางแผนจะขยายเวลาข้อบังคับที่กำหนดให้ผู้ใช้บริการขนส่งสาธารณะทางเครื่องบิน รถไฟ และรถบัส รวมถึงผู้ที่อยู่ในท่าอากาศยานและสถานีรถไฟ ต้องสวมหน้ากากอนามัยป้องกันไปจนถึงวันที่ 18 ม.ค. 2564 จากเดิมที่มีกำหนดสิ้นสุดลงในวันที่ 13 ก.ย.นี้ เพื่อควบคุมการแพร่ระบาดอย่างต่อเนื่องของโควิด-19
โฆษกสำนักงานความมั่นคงด้านการขนส่งสหรัฐ (TSA) ยืนยันว่า ทางหน่วยงานได้วางแผนขยายเวลาข้อบังคับดังกล่าวจริง โดยระบุว่า "จุดประสงค์ของข้อบังคับให้สวมหน้ากากอนามัยนี้ ก็คือเพื่อจำกัดการแพร่ระบาดของโควิด-19 ในระบบขนส่งสาธารณะ"
การตัดสินใจขยายเวลาข้อบังคับดังกล่าว สะท้อนให้เห็นถึงผลกระทบของเชื้อไวรัสสายพันธุ์เดลตาที่แพร่กระจายได้ง่าย ทั้งยังเป็นการยอมรับว่า การเดินทางด้วยระบบขนส่งสาธารณะยังมีความเสี่ยง โดยเฉพาะสำหรับผู้ที่ไม่ได้ฉีดวัคซีน
นอกจากนี้ยังมีแหล่งข่าวที่เปิดเผยว่า สายการบินรายใหญ่ของสหรัฐทราบเรื่องแผนขยายเวลาข้อบังคับแล้ว หลังจากพูดคุยทางโทรศัพท์กับ TSA และศูนย์ควบคุมและป้องกันโรค (CDC)
การประกาศขยายเวลาข้อบังคับเกิดขึ้นขณะที่บรรดาสายการบินในสหรัฐกำลังพิจารณาว่าจะบังคับให้พนักงานสายการบินต้องฉีดวัคซีนหรือไม่ หลังจากแคนาดาประกาศแผนเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมาว่า จะกำหนดให้ผู้โดยสารเครื่องบินทุกคนต้องได้รับการฉีดวัคซีน
ทั้งนี้ ข้อกำหนดของ CDC ในปัจจุบันบังคับใช้มาตั้งแต่ช่วงเดือนม.ค. ที่ปธน.ไบเดนเข้ารับตำแหน่ง โดยกำหนดให้ประชาชนต้องสวมหน้ากากอนามัยขณะใช้บริการขนส่งสาธารณะ เช่น ในท่าอากาศยาน, สถานีรถบัส, ท่าเรือข้ามฟาก, สถานีรถไฟและรถไฟใต้ดิน รวมถึงท่าเรือเดินทะเล