บริษัทหัวเว่ย เทคโนโลยี่ เปิดเผยว่า บริษัทจะยังคงเพิ่มจำนวนทีมนักวิจัย แม้บริษัทจะสูญเสียรายได้จากมาตรการคว่ำบาตรของสหรัฐ
ทั้งนี้ หัวเว่ยได้เพิ่มงบประมาณด้านการวิจัยให้มากขึ้น เพื่อให้จีนสามารถสร้างเทคโนโลยีของตัวเองได้ ขณะที่รัฐบาลสหรัฐชุดปัจจุบันภายใต้การบริหารของประธานาธิบดีโจ ไบเดนยังคงเดินหน้าแข่งขันกับจีน พร้อมออกมาตรการจำกัดการเข้าถึงเทคโนโลยีเซมิคอนดักเตอร์ของสหรัฐ
รายงานข่าวในวันนี้ระบุว่า นายเหริน เจิ้งเฟย ซีอีโอและผู้ก่อตั้งหัวเว่ยเผยในที่ประชุมภายในบริษัทเมื่อต้นเดือนส.ค.ว่า หัวเว่ยได้จ่ายค่าตอบแทนให้พนักงานที่มีจำนวนเพิ่มขึ้นตรงตามเวลา แม้ต้องเผชิญแรงกดดันจากสหรัฐก็ตาม ขณะที่บริษัทของจีนหลายแห่งมักเลื่อนการจ่ายเงินให้กับพนักงานออกไป หรือบังคับให้ลาออกโดยไม่ได้รับเงินชดเชย
"แม้สหรัฐจะใช้มาตรการคว่ำบาตรตลอดช่วงสองปีมานี้ แต่เราก็ไม่ได้มีการเปลี่ยนแปลงนโยบายด้านทรัพยากรบุคคล ขั้นตอนทางธุรกิจทุกอย่างยังเป็นปกติ ทั้งการจ่ายเงินเดือนและโบนัส การเลื่อนตำแหน่ง และการจ่ายเงินปันผลหุ้นของบริษัท บริษัทของเราไม่มีความวุ่นวายภายในเกิดขึ้น แต่กลับเป็นหนึ่งเดียวกันมากขึ้นกว่าเมื่อก่อน และยังดึงดูดคนเก่งได้มากขึ้นด้วย" สำนักข่าวซีเอ็นบีซีรายงานคำพูดของนายเหรินในเอกสาร
นายเหรินยังระบุว่า "แม้มาตรการคว่ำบาตรของสหรัฐในช่วงสองปีที่ผ่านมาจะทำให้เราไม่สามารถใช้ส่วนประกอบที่ดีที่สุดสำหรับสร้างผลิตภัณฑ์ที่ดีที่สุดได้ แต่เราก็ได้ปรับใช้ขั้นตอนทางวิทยาศาสตร์โดยคำนึงถึงความเหมาะสมเพื่อให้เกิดความสมดุลในระบบ และใช้ส่วนประกอบที่เหมาะสมมาผลิตเป็นผลิตภัณฑ์คุณภาพสูง ซึ่งช่วยให้เรามีผลกำไรเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญได้"
ทั้งนี้ เมื่อปี 2562 รัฐบาลของอดีตประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ได้ขึ้นบัญชีดำบริษัทหัวเว่ย และห้ามไม่ให้บริษัทสหรัฐขายเทคโนโลยีให้หัวเว่ย โดยอ้างถึงประเด็นภัยคุกคามต่อความมั่นคงของสหรัฐ ขณะที่หัวเว่ยได้ปฏิเสธข้อกล่าวหาดังกล่าว