ผลสำรวจความคิดเห็นครั้งใหม่ซึ่งจัดทำโดยสถาบัน Nanos Research for the Globe and Mail เผยว่า ชาวแคนาดากว่า 75% มีความเห็นว่ารัฐบาลแคนาดาภายใต้การบริหารของนายจัสติน ทรูโด ควรมีคำสั่งแบนบริษัทหัวเว่ย เทคโนโลยี่จากการมีส่วนร่วมในโครงข่ายโทรคมนาคม 5G ของประเทศ ซึ่งตัวเลขดังกล่าวเพิ่มขึ้นจากระดับ 53% ในปี 2562
กระแสความคิดเห็นในเชิงลบต่อหัวเว่ยที่รุนแรงขึ้นเช่นนี้ สะท้อนถึงความไม่พอใจของชาวแคนาดาที่มีมาอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ปี 2561 จากกรณีที่ทางการจีนควบคุมตัวนายไมเคิล คอฟริก อดีตนักการทูต และนายไมเคิล สปาวอร์ นักธุรกิจชาวแคนาดา เพียงไม่กี่วันหลังตำรวจแคนาดาได้เข้าจับกุมตัวนางเมิ่ง หว่านโจว ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการเงิน (CFO) ของหัวเว่ยตามหมายจับของสหรัฐ
รายงานข่าวระบุว่า ชายชาวแคนาดาทั้งสองถูกคุมขังในสภาพที่โหดร้ายนานกว่า 1,000 วัน ก่อนจะได้รับการปล่อยตัวเมื่อเดือนก.ย.ปีนี้ เมื่อนางเมิ่งได้เดินทางกลับประเทศจีนหลังจากบรรลุข้อตกลงยุติคดีฉ้อโกงกับทางการสหรัฐ
แม้ว่ารัฐบาลจีนยืนยันมาโดยตลอดว่าคดีของนางเมิ่งและของชาวแคนาดา 2 รายนั้นไม่มีความเชื่อมโยงกัน แต่รัฐบาลของนายทรูโดก็ได้กล่าวหาว่า จีนใช้วิธีจับตัวประกันเพื่อจุดประสงค์ทางการทูต (Hostage Diplomacy)
ทั้งนี้ นายทรูโดจะตัดสินใจว่าจะเปิดโอกาสให้หัวเว่ยใช้โครงข่าย 5G ของแคนาดาหรือไม่เร็ว ๆ นี้
หากนายทรูโดตัดสินใจออกคำสั่งแบนหัวเว่ยจริง ก็อาจทำให้ความสัมพันธ์ของจีนและแคนาดายิ่งย่ำแย่ลง โดยแคนาดาได้ชะลอการตัดสินใจในประเด็นนี้มาตลอดเกือบ 3 ปี ขณะที่นายคอฟริกและนายสปาวอร์ถูกควบคุมตัว ขณะเดียวกัน พันธมิตรใกล้ชิดของแคนาดาอย่างสหรัฐ, อังกฤษ และออสเตรเลีย ต่างก็มีคำสั่งห้ามบริษัทหัวเว่ยประกอบกิจการในประเทศ