กระทรวงสาธารณสุขอังกฤษเปิดเผยว่า ในช่วง 24 ชั่วโมงที่ผ่านมา พบผู้ติดเชื้อไวรัสโควิด-19 รายใหม่จำนวน 52,009 ราย ซึ่งเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่ที่อังกฤษประกาศผ่อนคลายมาตรการล็อกดาวน์ในเดือนก.ค. ส่งผลให้ยอดรวมผู้ติดเชื้อสะสมในประเทศอยู่ที่ 8,641,221 ราย ซึ่งสูงเป็นอันดับ 4 ของโลก รองจากสหรัฐ อินเดีย และบราซิล
ส่วนจำนวนผู้เสียชีวิตจากไวรัสโควิด-19 เพิ่มขึ้น 115 ราย สู่ระดับ 139,146 ราย
นายซาจิด จาวิด รัฐมนตรีสาธารณสุขของอังกฤษ กล่าวว่า จำนวนผู้ติดเชื้อไวรัสโควิด-19 อาจพุ่งแตะ 100,000 รายต่อวันในช่วงฤดูหนาวนี้
นายจาวิดเรียกร้องให้ประชาชนเพิ่มความระมัดระวังขณะอยู่นอกบ้าน โดยให้สวมหน้ากากอนามัย และหมั่นทำการตรวจหาเชื้อโควิด-19
อย่างไรก็ดี นายจาวิดยืนยันว่า รัฐบาลจะไม่กลับมาใช้มาตรการบังคับให้ประชาชนสวมหน้ากากอนามัย หรือมีคำสั่งให้บริษัทต่างๆให้พนักงานทำงานจากที่บ้าน
นายจาวิดกล่าวว่า รัฐบาลได้ทำข้อตกลงซื้อยาต้านโควิด-19 ของบริษัทเมอร์ค แอนด์ โค และบริษัทไฟเซอร์ อิงค์ ซึ่งต่างก็เป็นผู้ผลิตยารายใหญ่ของสหรัฐ โดยหวังว่าจะสามารถนำมารักษาผู้ป่วยโควิด-19 ภายในปลายปีนี้ หากได้รับการอนุม้ติจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
"เราจะมีอาวุธในคลังของเราจากการซื้อยาต้านโควิด-19 ของทั้งสองบริษัท" นายจาวิดกล่าว
ทั้งนี้ รัฐบาลอังกฤษได้ทำข้อตกลงซื้อยาโมลนูพิราเวียร์จำนวน 480,000 คอร์สจากบริษัทเมอร์ค และซื้อยา PF-07321332 จำนวน 250,000 คอร์สจากบริษัทไฟเซอร์ โดยผู้ป่วยจะต้องรับยา PF-07321332 พร้อมกับยา ritonavir ซึ่งเป็นยารักษาผู้ติดเชื้อ HIV
เมอร์คได้ยื่นเรื่องต่อสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยาสหรัฐ (FDA) เพื่อขออนุมัติการใช้ยาโมลนูพิราเวียร์เป็นกรณีฉุกเฉินแล้ว ส่วนไฟเซอร์ยังคงทำการทดลองยา PF-07321332 ในระยะที่ 3
อย่างไรก็ดี รัฐบาลอังกฤษไม่ได้เปิดเผยรายละเอียดเกี่ยวกับราคายาโมลนูพิราเวียร์ และยา PF-07321332 ที่มีการสั่งซื้อแต่อย่างใด ขณะที่รัฐบาลสหรัฐได้สั่งซื้อยาโมลนูพิราเวียร์จากเมอร์คในราคาคอร์สละ 700 ดอลลาร์