ผลวิจัยครั้งใหม่ที่เผยแพร่ในวารสารการแพทย์นิว อิงแลนด์พบว่า ไม่มีความสัมพันธ์กันระหว่างการฉีดวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 และความเสี่ยงที่สตรีจะแท้งบุตรในช่วง 3 เดือนแรกของการตั้งครรภ์
ผลวิจัยดังกล่าววิเคราะห์ทะเบียนสุขภาพในนอร์เวย์เพื่อเปรียบเทียบสัดส่วนของสตรีที่ฉีดวัคซีนซึ่งแท้งบุตรในช่วง 3 เดือนแรกของการตั้งครรภ์ และสตรีที่ยังคงตั้งท้องอยู่เมื่ออายุครรภ์ครบ 3 เดือน
นักวิจัยระบุในผลการวิจัยที่เปิดเผยในวันพฤหัสบดี (21 ต.ค.) ว่า "ผลการวิจัยของเราพบว่า ไม่มีหลักฐานเกี่ยวกับความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้นจากการแท้งบุตรในช่วงเริ่มตั้งครรภ์หลังจากการฉีดวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 และเป็นการยืนยันรายงานวิจัยอื่น ๆ ที่สนับสนุนให้สตรีเข้ารับการฉีดวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 ในระหว่างตั้งครรภ์"
ผลการวิจัยดังกล่าวเป็นการยืนยันให้กับสตรีที่ได้รับวัคซีนขณะที่อยู่ในช่วงเริ่มตั้งครรภ์ และสนับสนุนหลักฐานที่ว่า การฉีดวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 ระหว่างตั้งครรภ์นั้นมีความปลอดภัย
นอกจากนี้ นักวิจัยยังไม่พบความสัมพันธ์ระหว่างชนิดของวัคซีนกับการแท้งบุตร โดยในนอร์เวย์นั้นใช้วัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 ของไฟเซอร์, โมเดอร์นา และแอสตร้าเซนเนก้า
นักวิจัยระบุว่า สตรีที่ตั้งครรภ์จำเป็นต้องฉีดวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 เนื่องจากมีความเสี่ยงสูงที่จะต้องเข้ารับการรักษาตัวในโรงพยาบาล รวมถึงเกิดภาวะแทรกซ้อนหากติดเชื้อโควิด-19 นอกจากนี้ ทารกของพวกเขายังมีความเสี่ยงสูงที่จะเกิดก่อนกำหนด
ผลวิจัยระบุด้วยว่า การฉีดวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 ระหว่างตั้งครรภ์มีแนวโน้มที่จะป้องกันทารกแรกเกิดจากการติดเชื้อโควิด-19 ในช่วงเดือนแรก ๆ หลังคลอดด้วย