ข้อมูลจากมหาวิทยาลัยจอห์น ฮอปกินส์ระบุในวันนี้ว่า ยอดผู้เสียชีวิตสะสมจากการติดเชื้อไวรัสโควิด-19 ทั่วโลกอยู่ที่ระดับ 5,000,425 ราย นับตั้งแต่ที่องค์การอนามัยโลก (WHO) ได้รับแจ้งอย่างเป็นทางการว่า มีการพบผู้ป่วยที่มีอาการปอดอักเสบรุนแรงจำนวนมากในเมืองอู่ฮั่น มณฑลหูเป่ยของจีนในช่วงต้นเดือนธ.ค.2562
จอห์น ฮอปกินส์เปิดเผยว่า สหรัฐมีผู้เสียชีวิตจากโควิด-19 สูงสุดในโลก โดยมีจำนวนสะสม 745,836 ราย
การแพร่ระบาดของไวรัสสายพันธุ์เดลตามีส่วนสำคัญที่ทำให้จำนวนผู้ติดเชื้อและเสียชีวิตจากโควิด-19 เพิ่มขึ้นทั่วโลก ซึ่งขณะนี้มีจำนวนผู้ติดเชื้อสะสมมากกว่า 247 ล้านราย
นอกจากนี้ ไวรัสสายพันธุ์เดลตายังมีการกลายพันธุ์เป็นสายพันธุ์เดลตาพลัส หรือมีชื่อทางการว่า AY.4.2 และได้แพร่ระบาดใน 42 ประเทศ
อย่างไรก็ดี ทั่วโลกเริ่มเห็นแสงสว่างในปลายอุโมงค์ขณะที่บริษัทหลายแห่งเริ่มมีการผลิตวัคซีนต้านโควิด-19 รวมทั้งการที่บริษัทเมอร์ค แอนด์ โค บริษัทยารายใหญ่จากสหรัฐ และบริษัทริดจ์แบ็ค ไบโอเทราพิวติกส์ สามารถพัฒนายาโมลนูพิราเวียร์ ซึ่งเป็นยารักษาโรคโควิด-19 โดยมีประสิทธิภาพในการต้านไวรัสโควิด-19 ทุกสายพันธุ์ รวมถึงสายพันธุ์เดลตา แกมมา และมิว
ทั้งนี้ เมอร์คได้ยื่นขออนุมัติการใช้ยาโมลนูพิราเวียร์เป็นกรณีฉุกเฉินต่อสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยาสหรัฐ (FDA) เมื่อวันที่ 11 ต.ค. โดยคาดว่าจะได้รับการอนุมัติในช่วงต้นเดือนธ.ค.
หาก FDA ให้การอนุมัติการใช้ยาโมลนูพิราเวียร์ก็จะเป็นการปูทางให้หน่วยงานด้านสาธารณสุขทั่วโลกอนุมัติการใช้ยาดังกล่าวเช่นกัน ซึ่งจะช่วยให้มีการใช้ยาโมลนูพิราเวียร์รักษาผู้ป่วยโควิด-19 อย่างแพร่หลายในประเทศต่างๆ
องค์กรสิทธิบัตรยาร่วม (MPP) ซึ่งได้รับการสนับสนุนจากองค์การสหประชาชาติ (UN) เปิดเผยว่า MPP ได้บรรลุข้อตกลงด้านสิทธิบัตรยากับบริษัทเมอร์ค แอนด์ โค และบริษัทริดจ์แบ็ค ไบโอเทราพิวติกส์ โดยบริษัททั้งสองจะมอบสูตรการผลิตยาโมลนูพิราเวียร์ให้แก่ 105 ประเทศเพื่อให้กลุ่มประเทศยากจนสามารถเข้าถึงยาดังกล่าว
ทั้งนี้ บริษัทที่ต้องการผลิตยาโมลนูพิราเวียร์สามารถยื่นเรื่องต่อ MPP เพื่อขอการอนุมัติ โดย MPP จะมอบช่วงสิทธิบัตรให้แก่บริษัทที่มีคุณสมบัติเหมาะสม และได้รับการอนุมัติจากหน่วยงานสาธารณสุขภายในประเทศในการผลิตยาดังกล่าว
MPP เปิดเผยว่า ขณะนี้มีบริษัทกว่า 50 แห่งที่ได้ยื่นเรื่องขอรับช่วงสิทธิบัตรในการผลิตยาโมลนูพิราเวียร์แล้ว
ทั้งนี้ บริษัทเมอร์คและบริษัทริดจ์แบ็คจะไม่เรียกเก็บค่ารอยัลตี หรือค่าตอบแทนใดๆจากบริษัทที่ผลิตยาโมลนูพิราเวียร์ ตราบใดที่องค์การอนามัยโลก (WHO) ยังคงจัดอันดับโควิด-19 เป็นภาวะฉุกเฉินด้านสาธารณสุขระหว่างประเทศ
คาดว่าการมอบช่วงสิทธิบัตรการผลิตยาดังกล่าว จะทำให้ยาโมลนูพิราเวียร์มีราคาถูกลงเหลือเพียงคอร์สละ 20 ดอลลาร์ หรือราว 650 บาท ขณะที่รัฐบาลสหรัฐซื้อยาดังกล่าวจากเมอร์คในราคาคอร์สละ 700 ดอลลาร์ หรือมากกว่า 23,000 บาท
ทั้งนี้ ยา 1 คอร์สประกอบด้วยยาโมลนูพิราเวียร์ขนาด 200 มิลลิกรัม จำนวน 40 เม็ดสำหรับผู้ป่วย 1 คน โดยผู้ป่วยจะรับประทานยาวันละ 2 ครั้งๆละ 4 เม็ด เป็นเวลา 5 วัน