ยุโรปได้กลายเป็นศูนย์กลางการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 อีกครั้ง ซึ่งทำให้รัฐบาลของบางประเทศพิจารณาที่จะกำหนดมาตรการล็อกดาวน์อีกครั้งก่อนถึงเทศกาลคริสต์มาส และทำให้เกิดการถกเถียงกันว่า การใช้วัคซีนอย่างเดียวนั้นเพียงพอที่จะยับยั้งโควิด-19 หรือไม่
สำนักข่าวรอยเตอร์เปิดเผยข้อมูลระบุว่า จำนวนผู้ติดเชื้อโควิด-19 ในยุโรปคิดเป็นสัดส่วนมากกว่าครึ่งของจำนวนผู้ติดเชื้อเฉลี่ยทั่วโลกในรอบ 7 วัน และมีจำนวนผู้เสียชีวิตถึงราวครึ่งหนึ่งด้วย ซึ่งนับเป็นระดับสูงที่สุดตั้งแต่เดือนเม.ย.ที่ผ่านมาซึ่งไวรัสโควิด-19 ระบาดสูงสุดครั้งแรกในอิตาลี
บรรดารัฐบาลและบริษัทเอกชนต่างก็วิตกว่า การแพร่ระบาดที่ยืดเยื้อจะส่งผลกระทบต่อการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจที่เปราะบาง
ประเทศต่าง ๆ รวมถึงเนเธอร์แลนด์, เยอรมนี, ออสเตรีย และสาธารณรัฐเช็ก กำลังดำเนินการ หรือวางแผนมาตรการเพื่อควบคุมการแพร่ระบาด
นายมาร์ค รุตเตอ นายกรัฐมนตรีของเนเธอร์แลนด์ประกาศใช้มาตรการล็อกดาวน์บางส่วนเป็นเวลา 3 สัปดาห์ตั้งแต่วันเสาร์นี้ (13 พ.ย.) ซึ่งนับเป็นการกลับมาล็อกดาวน์ครั้งแรกนับตั้งแต่ฤดูร้อน
ทั้งนี้ ความวิตกเกี่ยวกับการแพร่ระบาดระลอกใหม่ดังกล่าวซึ่งนายกรัฐมนตรีบอริส จอห์นสันของอังกฤษระบุว่าเป็น "เมฆพายุ" ทั่วยุโรปนั้นได้เกิดขึ้น ในขณะที่การรณรงค์ฉีดวัคซีนที่ประสบความสำเร็จได้แตะระดับสูงสุดแล้วก่อนถึงฤดูหนาวและฤดูไข้หวัดใหญ่ระบาด
ประชากรราว 65% ในเขตเศรษฐกิจยุโรป (EEA) ซึ่งรวมถึงสหภาพยุโรป (EU), ไอซ์แลนด์, ลิกเตนสไตน์และนอร์เวย์ ได้รับวัคซีนครบ 2 โดสแล้ว แต่อัตราการฉีดวัคซีนได้ชะลอลงในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา