ประธานาธิบดีโรดริโก ดูเตอร์เตแห่งฟิลิปปินส์ระบุในการแถลงข่าวเมื่อวานนี้ (15 พ.ย.) ว่า รัฐบาลจะไม่กำหนดให้ประชาชนสวมใส่อุปกรณ์ป้องกันใบหน้าหรือเฟซชิลด์ (Face Shield) ในวงกว้างอีกต่อไป โดยเป็นการผ่อนคลายคำสั่งที่บังคับใช้มานานกว่า 1 ปี หลังจากฟิลิปปินส์เป็นเพียงหนึ่งในไม่กี่ประเทศทั่วโลกที่กำหนดให้ประชาชนใส่เฟซชิลด์เพื่อป้องกันโรคโควิด-19
บันทึกข้อความจากทำเนียบประธานาธิบดีฟิลิปปินส์ระบุว่า รัฐบาลจะกำหนดให้ประชาชนใส่เฟซชิลด์เฉพาะในพื้นที่ที่ใช้มาตรการล็อกดาวน์อย่างเข้มงวดเท่านั้น โดยปธน.ดูเตอร์เตกล่าวว่า การใส่เฟซชิลด์ถือเป็นเรื่องยุ่งยาก
นอกจากนี้ ปธน.ดูเตอร์เตยังได้อนุมัติคำแนะนำของกระทรวงสาธารณสุขฟิลิปปินส์เพื่อให้บุคลากรการแพทย์เข้ารับวัคซีนบูสเตอร์ และเรียกร้องให้รัฐบาลท้องถิ่นออกคำสั่งห้ามเด็กเข้าห้างสรรพสินค้าอีกครั้ง หลังจากมีรายงานว่า เด็กชายวัย 2 ขวบรายหนึ่งมีผลตรวจโควิด-19 เป็นบวกหลังจากเดินทางไปห้างสรรพสินค้าแห่งหนึ่ง
ทั้งนี้ ยอดผู้ติดเชื้อโควิด-19 รายวันในฟิลิปปินส์ ลดลงต่ำกว่า 2,000 รายในช่วงหลายวันที่ผ่านมา
ในการแถลงข่าวเดียวกันนั้น ปธน.ดูเตอร์เตระบุว่า เศรษฐกิจฟิลิปปินส์ "จะสามารถกลับสู่ระดับก่อนเกิดโรคระบาดได้ในเร็ว ๆ นี้" หลังจากฟื้นตัวขึ้นในไตรมาสที่ผ่านมาจากผลพวงของการบริโภคภาคครัวเรือนที่แข็งแกร่ง
สำนักข่าวบลูมเบิร์กรายงานว่า ศูนย์ควบคุมและป้องกันโรค (CDC) ของสหรัฐไม่ได้แนะนำให้ใช้เฟซชิลด์ในการป้องกันโรคโควิด-19 เพราะ "ขณะนี้ยังไม่ทราบถึงประสิทธิภาพของเฟซชิลด์" ขณะที่องค์การอนามัยโลก (WHO) ระบุว่า อุปกรณ์ชนิดนี้สามารถใช้ในการปกป้องดวงตาในช่วงที่เกิดโรคระบาด