องค์การยาแห่งยุโรป (EMA) ประกาศอนุมัติการเพิ่มกำลังการผลิตวัคซีนต้านโควิด-19 ของบริษัทไฟเซอร์/ไบออนเทค, โมเดอร์นา และจอห์นสัน แอนด์ จอห์นสัน เพื่อสกัดการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 สายพันธุ์โอมิครอนในยุโรป
นอกจากนี้ EMA ยังได้อนุมัติการใช้ยาแพกซ์โลวิดของบริษัทไฟเซอร์ อิงค์ ในการรักษาผู้ป่วยโควิด-19 ในสหภาพยุโรป (EU)
แถลงการณ์ของ EMA ระบุว่า ประเทศสมาชิก EU สามารถใช้ยาแพกซ์โลวิดในการรักษาผู้ป่วยโควิด-19 หากมีการตรวจพบการติดเชื้อ
การดำเนินการดังกล่าวของ EMA ถือเป็นการอนุมัติอย่างฉุกเฉินเพื่อสกัดการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 สายพันธุ์โอมิครอนในยุโรป โดย EMA ยังไม่เสร็จสิ้นกระบวนการอนุมัติตามกฎระเบียบ และยังไม่ได้อนุมัติให้มีการจำหน่ายยาแพกซ์โลวิดในเชิงพาณิชย์
นายแพทย์ทีโดรส อัดฮานอม กีบรีเยซุส ผู้อำนวยการใหญ่ขององค์การอนามัยโลก (WHO) กล่าวว่า ไวรัสโควิด-19 สายพันธุ์โอมิครอนกำลังแพร่ระบาดในอัตราที่รวดเร็วกว่าไวรัสสายพันธุ์อื่น และมีแนวโน้มที่จะระบาดไปยังทุกประเทศทั่วโลก
นอกจากนี้ WHO เปิดเผยว่า หลักฐานเบื้องต้นบ่งชี้ว่า วัคซีนต้านโควิด-19 อาจมีประสิทธิภาพลดลงในการป้องกันการติดเชื้อและการแพร่ระบาดของไวรัสสายพันธุ์โอมิครอน
ไฟเซอร์เปิดเผยก่อนหน้านี้ว่า ผลการวิเคราะห์ขั้นสุดท้ายยืนยันว่า ยาแพกซ์โลวิดของทางบริษัทสามารถลดความเสี่ยงของผู้ป่วยโควิด-19 ในการเข้ารักษาตัวในโรงพยาบาลหรือเสียชีวิตได้ถึง 89%
นอกจากนี้ ข้อมูลยังระบุว่า ยาแพกซ์โลวิดมีประสิทธิภาพในการรักษาผู้ป่วยที่ติดเชื้อไวรัสโควิด-19 สายพันธุ์โอมิครอน
ผู้ที่จะรับประทานยาของไฟเซอร์จะต้องรับทั้งยาแพกซ์โลวิด พร้อมกับยาริโทนาเวียร์ ซึ่งเป็นยาต้านไวรัส HIV โดยยา 1 คอร์สของไฟเซอร์ประกอบด้วยยาแพกซ์โลวิด 20 เม็ดและริโทนาเวียร์ 10 เม็ดสำหรับผู้ป่วย 1 คน โดยผู้ป่วยจะรับประทานยาแพกซ์โลวิดขนาด 150 มิลลิกรัม 2 เม็ดต่อครั้ง คู่กับยาริโทนาเวียร์ 100 มิลลิกรัม 1 เม็ดต่อครั้ง วันละ 2 ครั้ง เป็นเวลา 5 วัน